เหตุที่ทำให้ไม่หลุดพ้น




“ความหลุดพ้น” เป็นสิ่งที่ศาสนาต่างๆ ต่างสอนตรงกัน ศาสนาพราหมณ์สอนเรื่องโมกษะคือความหลุดพ้น ศาสนาคริสตร์สอนเรื่องความรอดให้หลุดพ้นจากโลกนี้, ศาสนาพุทธสอนเรื่องนิพพานคือทางหลุดพ้นทุกข์ที่แท้จริง ฯลฯ เห็นไหมครับ ทุกศาสนาสอนเรื่องความหลุดพ้นเช่นกัน ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้

เคลียร์หนี้บาปกรรมไม่หมด
ข้อนี้สำคัญมาก “ต่อให้คุณฉลาดรู้หมดทุกอย่าง” แต่ชำระกรรมไม่หมด มันก็ไม่หมด รู้เยอะ รู้หมด ว่ามีหนี้เท่าไร แต่ไม่ได้ใช้ ชำระไม่หมด มันก็ไม่หมด จริงไหมครับ? ดังนั้น พุทธศาสนาจึสอนให้เรา “ปฏิบัติ” ด้วย ไม่ใช่แค่ใช้สมองคิดเก่ง ไม่ใช่มีแต่ปริยัติ แต่มีครบปฏิบัติและปฏิเวธด้วย หลายคนกำลังหลงเพลินในโลก ที่ได้อะไรมากมาย คิดว่าตัวเองเก่ง, ฉลาด, เป็นคนดี ฯลฯ จึได้อะไรมากมายเช่นนั้น ทว่า นี่คือ ความหลง ที่ทำให้ประมาทครับ ต่อให้เราเก่ง, ฉลาด, ดี แล้วไง? ถ้าชำระบาปกรรมไม่หมด มันก็ไม่หมด มันก็ไม่หลุดพ้นได้ครับ ดังนั้น สู้คนโง่ๆ ที่ถูกหลอกให้ต้องทนชำระบาปกรรมไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร ยังไม่ได้เลย จริงไหมครับ

๒ ไม่ได้มีสมาธิที่จะเอาตัวรอดจริงๆ
เรียกว่า “มัวแต่ส่งจิตออกนอก” มัวแต่ไปช่วยชาวบ้านบ้าง, มัวแต่ไปทำมาหากินบ้าง, มัวแต่ไปสนใจธรรมะนอกตัวบ้าง ฯลฯ สุดท้าย ไม่มีสมาธิจดจ่อในการเอาตัวให้รอดจริงๆ เพราะถูก “สิ่งเร้า” ยั่วยุทั้งทางบวกและลบให้เป๋ออกไปจากทางแห่งความหลุดพ้น บางคนหลงคิดว่าตัวเองรู้ธรรมะมากแล้วจะเอาตัวรอดได้ แต่ยังไม่รอดได้จริงก็มี เพราะมัวแต่ไปสอนคนอื่น ช่วยเหลือคนอื่น จนลืมดูตัวเอง คนที่จะหลุดพ้นได้จริงๆ จะต้อง “เห็นแก่ตัวให้เป็น” ก่อน คือ ไม่สนใจอะไรใครทั้งนั้น จะเอาตัวเองให้รอดอย่างเดียว แบบนี้สมาธิก็จะรวมอยู่กับการเอาตัวเองให้รอดได้ แต่หลายคนเห็นแก่ตัวไม่เป็น กลายเป็นถูกหลอกให้หลงทางเห็นแก่ตัวแบบผิดๆ

๓ ยังไม่เข็ดหลาบกับทุกข์ในโลก
หลายคนยัง “เพลิดเพลินเจริญใจกับสุขจอมปลอมทางโลก” อยู่นะ นี่เรียกว่า “นันทิ” ก็คือ ความหลงเพลินไปในความสุขแบบโลกๆ เหมือนสัตว์ที่กินหญ้าเพลินๆ ไม่รู้ตัวก็ถูกเสือคาบไปกินน่ะละ เรียกว่ายังไม่เข็ดในเรื่องทางโลกจริงๆ คนเราจะเข็ดหลาบได้ขั้น “อตัมยตา” คือ “กูไม่เอาอะไรกับใครอีกแล้วโว้ย” ขนาดนั้น ได้ จะต้องเจอเรื่องร้ายๆ มากพอควร “พอกับปัญญาของตน” คนโง่มากโดนหนักมาก คนมีปัญญามาก ก็โดนเบาหน่อย โดนนิดหน่อยก็เริ่มตาแจ้งแล้ว เริ่มตาสว่างแล้ว ส่วนคนโง่แต่สมองดี คิดว่าตนเองฉลาด หากินได้ดี ร่ำรวยเงินทอง พวกนี้ยังไม่เข็ดหลาบ ยังห่างไกลจากธรรมะ แม้สมองจะดี อ่านธรรมะเข้าใจหมดก็ตามที

๔ มัวหลงความดีจนผูดมัดตัวเอง
เช่น การทำบุญมากๆ ผลบุญผูกมัดตัวเองทำให้ตัวเองต้องรับผลของมัน ไม่อาจหลุดพ้นจากโลกนี้ได้ พระที่สร้างวัดหลายรูป ตายแล้วกลายเป็น “ผีเสื้อวัด” เป็นยักษ์เฝ้าวัด มีเยอะเลย นี่เพราะความดีหรือผลบุญที่ทำนั้นผูกมัดตัวเอง แบบนี้ก็ไม่หลุดพ้นนะ พุทธศาสนานั้นไม่ได้สอนให้เราหลงบุญ แต่สอนว่าบุญมีจริง กรรมมีจริง เมื่อทำบุญแล้วก็อุทิศออกให้สัตว์ชั้นต่ำไปเสียเพื่อเราจะได้หลุดพ้น ส่วนกรรมนั้นก็เลี่ยง ถือศีล ละเว้นที่จะทำ แล้วรับวิบากกรรมชดใช้ให้หมดๆ เสีย จะได้เอาตัวรอดหลุดพ้นได้ ดังนั้น จึไม่ได้สอนให้พระไปสร้างวัดอะไร กลับสอนให้พระอยู่ในธรรมวินัย ไม่ต้องทำงานอะไรมาก เห็นไหม ทำไมเขาไม่ให้พระทำอะไรมาก?

๕ ทำใจยอมคนที่ควรยอมไม่ได้
เช่น หากพระพุทธะมาในรูปเด็ก มาพูดธรรมะให้เราฟัง เราทำใจไม่ได้ที่จะยอมก้มจำนนต่อเด็ก เรามัวแต่ไปหา “คนที่น่าศรัทธา” ตาม “ความคิดฝันของเรา” เช่น คนที่ดูขลังๆ คนที่ดูวิเศษ คนที่มีอายุมากๆ ฯลฯ เราไม่อาจทำใจยอมรับคนที่ควรยอมรับได้ เพราะ “ใจเรายึดติดรูปแบบคนที่เราอยากศรัทธา” ยึดติดอยู่อย่างนั้นๆ เราก็ไม่หลุดพ้น นี่คืออาการ “ติดในรูป” อย่างหนึ่ง คือ รูปของพระพุทธะ, พระศาสดา ว่าจะต้องมีรูปแบบนี้ ถ้าไม่ใช่แบบนี้ๆ ฉันจะต่อต้าน ฉันจะไม่เชื่อ ฉันจะเอาชนะเหนือกว่าให้ดู ฯลฯ คนส่วนใหญ่ที่ไม่หลุดพ้นด้วยสาเหตุนี้ครับ คือ ทำใจยอมก้มจำนนต่อคนที่ควรยอม ไม่ได้ มักไปหลง “ศรัทธา” คนที่น่าศรัทธาแต่ไม่จริง

รักตัวเองเอาตัวเองให้รอด อย่างอื่นอย่าไปสนใจมันเลยครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?