ขันธปรินิพพาน-จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป




เรื่องนิพพานนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาถกเถียงเพื่อเอาชนะคะคานกันแต่เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจะปฏิบัติ ใครปฏิบัติได้ก็ได้ไปแม้เถียงใครไม่ชนะเขาก็ได้ไปอยู่ดี ส่วนใครที่ปฏิบัติไม่ได้ต่อให้เถียงชนะทุกคนก็ไม่ได้อยู่ดี ในบทความฉบับนี้จะขออธิบายไว้เพื่อเป็นปริยัติธรรมให้ผู้อ่านเกิดสัมมาทิฐิตรงทาง ดังต่อไปนี้ครับ

๑ ขันธ์กับจิตเป็นธรรมต่างกัน
อย่าเอามาปนกันนะครับ ขันธ์มีห้าเรียกว่าขันธ์ห้าได้แก่ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร และวิญญาณ แต่จิตนั้นอยู่ในหมวดปรมัตถธรรมสี่ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป, นิพพาน พระพุทธเจ้าจำแนกออกไว้ให้แล้วอย่างดี ก็อย่าเอามาปนกันตามอำเภอใจครับ ทีนี้ ขันธปรินิพพานนั้นเป็นเรื่องการนิพพานในส่วน “ขันธ์” ไม่ใช่ธาตุ ไม่ใช่พระธาตุนิพพานนะ นิพพานแต่ส่วนขันธ์เลยเรียกว่า “ขันธปรินิพพาน” ทีนี้ ขันธ์นั้น มีจิตมาครองอยู่ เมื่อนิพพานโดยรอบจิตก็เลยเรียกว่า “ปรินิพพาน” (ปริ มาจากคำว่า บริ แปลว่าโดยรอบ) ดังนั้น เมื่อเรามีขันธปรินิพพานแล้ว จิตยังไม่ได้สูญหาย อย่าบอกว่าจิตดับหายสูญไปละ จะยังมีจุติจิตและปฏิสนธิจิตอยู่

๒ นิพพานกับการเกิดคนละเรื่อง
อย่างที่สองที่เราควรจะทราบคือนิพพานไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือไม่เกิดอะไรทั้งนั้น ดังที่กล่าวแล้วว่าเมื่อผ่านขันธปรินิพพานแล้ว จะไปสู่จุติจิตและปฏิสนธิจิต ดังนั้น ในช่วงขันธปรินิพพานนั้นไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือไม่เกิดแต่อย่างใด เรียกว่าแม้มีขันธปรินิพพานแล้วก็ยังมีจุติจิตและปฏิสนธิจิตอยู่ดีเพราะ “ขันธ์ไม่เกี่ยวกับจิต” ขันธปรินิพพานก็เรื่องของขันธ์ห้าไป ส่วนจิตก็ดำเนินไปตามทางของมันคือ จุติจิต, ปฏิสนธิจิตตามธรรมเดิม ถามว่าเช่นนี้ เราก็หลุดพ้นจากการเกิดไม่ได้น่ะสิ? คำตอบคือ คำว่าหลุดพ้นมันมีคำว่า “พอดี” กับสุดโต่งอยู่ คำว่าพอดีคือ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏสงสารของสามภพนี้ ส่วนคำว่าสุดโต่งคือ จะไม่ยอมเกิดเลย 

๓ มิจฉาทิฐิเรื่องการไม่ยอมเกิดเลย
ความสุดโต่งในเรื่องการเกิดมีสองแบบคือ ๑ แบบหลงในการเวียนว่ายตายเกิด ๒ แบบสุดโต่งว่าจะไม่เกิดเลย ทั้งสองแบบนี้สุดโต่งไปคนละทาง ตรงกันข้ามกัน สำหรับความพอดีอันเป็นทางสายกลางนั้น จะต่างไป คือ จะแค่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ ในสังสารวัฏของโลกนี้ เพราะโลกนี้ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง แต่เป็น “โลกธาตุแห่งการชำระล้าง” ไม่นานก็จะเกิดการชำระล้าง โลกธาตุก็แปรปรวน จนหลายคนเชื่อว่าจะมีวันสิ้นโลกน่ะละ ดังนั้น ไม่ควรหลงการเกิดในโลกนี้ แต่ก็อย่าสุดโต่งแบบจะไม่เกิดเลย เพราะการเกิดดับนั้นเป็นเรื่องธรรมดา หากเราปลงไม่ตก ไม่มีใจเป็นกลางจะยอมรับความจริงได้ เราก็จะต่อต้านการเกิด

๔ ขันธปรินิพพานกับการเกิด
ขันธปรินิพพานกับการเกิดไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่สาเหตุของกันและกัน แต่คนที่ได้ขันธปรินิพพานนั้นจะไม่มีความอาลัยในขันธ์เก่าเดิม ในขณะที่คนทั่วไปมีความอาลัยในขันธ์ห้าเดิม เมื่อตายลงจะเกิดใหม่ใกล้ๆ ร่างเก่า เป็นวิญญาณอยู่แถวๆ นั้นก่อน จากนั้นก็จะมีเทวทูตหรือยมทูตมารับวิญญาณไปสู่ภพภูมิใหม่ แบบนี้ก็ไม่หลุดพ้นจากสามภพ เพราะยังเข้าสู่ระบบสามภพแล้วกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสามภพใหม่อยู่ดี ส่วนผู้ที่ได้ขันธปรินิพพานนั้นจิตจะจุติหลุดพ้นไปจากขันธ์ห้า แม้มารซาตานจะมารอรับวิญญาณใกล้ๆ ร่างเก่าก็จะไม่สามารถเอาไปได้ เรียกว่า “หลุดพ้นแบบพอดี” เพราะจิตจุติไปยังภพภูมิใหม่ได้โดยไม่ต้องมีใครมารับ

๕ ทำไมต้องขันธปรินิพพานก่อนจุติจิต?
เพราะหากคุณไม่ได้ขันธปรินิพพาน คุณจะจุติใกล้ๆ ขันธ์เก่าด้วยความที่ยังอาลัยในขันธ์เก่านั้นเอง และจะถูกเทวทูตหรือยมทูตมารับตัวไป แล้วคุณก็จะต้องวนเวียนอยู่ในโลกนี้ต่อไป ในสามภพนี้ต่อไป แต่ถ้าคุณได้ขันธปรินิพพาน จิตของคุณจะจุติไปได้ไกล ข้ามจักรวาลเลยก็ได้ในชั่วพริบตาเดียว เช่น พุทธเกษตรโลกธาตุ ที่อยู่ในจักรวาลอื่น ไม่ได้อยู่ในจักรวาลของเรานี้ครับ เราเหาะไปไม่ไหว ทางที่จะไปได้คือ “จิต” จิตตัวเดียวที่ท่องเที่ยวไปได้ครับ ขันธ์ทั้งห้าเอาไปด้วยไม่ได้ แม้แต่วิญญาณขันธ์ การมีกายทิพย์ที่มีฤทธิ์ก็ไปไม่ไหว ต้องผ่านขันธปรินิพพานเท่านั้น จิตจะจุติเหมือนแสงเดินทางเร็วชั่วพริบตาแล้วเกิดใหม่หลุดพ้นจากโลกนี้ได้ครับ

การเดินทางไปเกิดยังพุทธเกษตรต้องผ่านขันธปรินิพพานครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?