ความขยันแบบมนุษย์แท้จริงเป็นอย่างไร?




ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายเรื่อง “สัมมาวายามะ” ไปมากแล้ว แต่หลายคนอาจยังไม่ยอมรับความจริง ในบทความนี้จะขออธิบายในมุมที่เป็นเรื่องของมนุษย์ธรรมดาๆ บ้าง ไม่เน้นเรื่องธรรมะ เรื่องมรรคแปดมากนัก เพราะจะได้ไม่ต้องเอาชนะคะคานเรื่องธรรมะกันมากไป แต่ก็มีความจริงสอดคล้องกันอยู่ ดังต่อไปนี้

มีพื้นฐานบนเสรีภาพ
คำว่า “มีเสรีภาพ” คือจะขยันหรือหยุดขยันก็ได้ ไม่ใช่ถูกโปรมแกรมมาให้ขยันโดนยาสั่งมาให้ขยันแบบหยุดไม่ได้ เข้าใจคำว่ามีเสรีภาพนะครับ ทีนี้ คนที่มีมิจฉาทิฐิไม่เข้าใจตรงนี้ ก็จะมองว่า “มนุษย์ขี้เกียจ” เมื่อเห็นมนุษย์เลิกทำงานหรือหยุดทำงาน เพราะเขาไม่ยอมรับว่ามนุษย์มีเสรีภาพที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ เขาก็จะหาวิธี “ล่อลวง” ให้มนุษย์ขยันเป็น “ทาสชั้นดี” สารพัดวิธี เช่น ใช้เงินเป็นตัวล่อ, ใช้การจ้างงาน, ใช้การสอนให้เชื่อในความขยันอย่างไร้เสรีภาพ ฯลฯ นี่คือ “แนวคิดระบบทุนนิยม” ที่มองมนุษย์ว่าเป็นแค่แรงงานที่ขี้เกียจ เราจะต้อง “หลุดพ้นจากกรงกรอบความคิดนี้” ให้ได้ก่อน เราจะเข้าใจ “ความขยันในแบบมนุษย์” แท้จริงได้

๒ ความขยันที่พอดีแบบมนุษย์
เราอาจเอาความขยันของพระโพธิสัตว์ เช่น พระมหาชนก มาเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ แต่เราไม่อาจเอามาเป็น “มาตรฐาน” ที่จะให้ทุกคนเป็นเช่นนั้นได้ คำว่า “มาตรฐาน” เช่น ค่ากลาง, ค่าเฉลี่ยนี้ไม่ใช่ค่าสูงสุด (Mean is not maximum) เข้าใจคำว่า “ความขยันที่พอดีแบบมนุษย์” นะครับ ทว่า หลายคนไม่รู้ว่าค่าพอดี ค่าเฉลี่ยนี้มันอยู่ตรงไหน? ก็จะเอา “ความละโมบส่วนตัว” เป็นที่ตั้ง เช่น ละโมบอยากใช้งานลูกจ้างหนักๆ ก็มองว่าลูกจ้างขี้เกียจ ไม่ขยันพอ ทีนี้ ความเข้าใจใน “สัมมาวายามะ” ของเขาก็จะผิดเพี้ยนไปและไม่ตรงกับความจริง ความขยันที่พอดีแบบมนุษย์นั้นไม่ได้มากพอเท่ากับความละโมบของนายจ้าง อันนี้ควรเข้าใจนะ

๓ ไม่ใช่มาตรฐานแบบเทพ?
หลายท่านเข้าใจคำว่า “สัมมาวายามะ” หรือความเพียรชอบแบบทางสายกลางแบบผิดๆ คือ ไปเอาความขยันแบบเทพ แบบโพธิสัตว์มาเป็นมาตรฐานครับ ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น มนุษย์เราจริงๆ อาจไม่ได้ขยันเว่อร์ขนาดนั้น หากขยันเว่อร์ขนาดนั้นก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว กลายเป็นเทพ กลายเป็นโพธิสัตว์ไปแล้วสิครับ นี่คือ สิ่งที่หลายคน “ควรล้างและทำความเข้าใจใหม่” มันอาจดูดีที่ทำให้มนุษย์ขยันเว่อร์ๆ เพื่อให้ประเทศได้ความเจริญกว่าใครเขา ทว่า สุดท้ายแล้ว คุณจะไม่เหลือมนุษย์ พวกเขาจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เพราะคุณทำให้เขา “ขยันผิดมนุษย์มนา” เสียเอง คุณทำลายเสรีภาพของมนุษย์เพื่อแลกมาซึ่งความเจริญต่างหาก!

๔ ทำงานกับเทพหรือมนุษย์?
สิ่งนี้คุณควร “ถามตัวเองและตระหนักให้มาก” หากคุณทำงานกับเทพ แล้วทีมงานขยันมาก มันไม่แปลกนะ แต่ถ้าคุณทำงานกับมนุษย์แล้วพวกเขาจะทำบ้างไม่ทำบ้าง คุณจะคิดว่าเขาขี้เกียจ ไม่ได้ แต่คุณควรเคารพใน “เสรีภาพ” ที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ของพวกเขา ที่มนุษย์ไม่อยากทำงานให้คุณ ไม่ใช่เพราะพวกเขาขี้เกียจ แต่เพราะพวกเขาอาจไม่อยากทำ เพราะงานที่คุณให้พวกเขาทำมันไม่น่าอยากทำสำหรับเขาเลยก็ได้ แต่ถ้าคุณยังมีมิจฉาทิฐิไม่หาย คุณจะไม่เข้าใจมนุษย์ ไม่เข้าใจเสรีภาพของมนุษย์แบบนี้ คุณก็จะมองพวกเขาว่าขี้เกียจและต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไช ต้องเอาเงินมาหลอกล่อ ต้องมีระบบการจ้างงาน ฯลฯ อันเป็นแนวคิดทุนนิยม

๕ อย่าคาดหวังกับมนุษย์จนเกินจริง
แต่ควรทำความเข้าใจและยอมรับความจริงของมนุษย์ให้ได้ คุณอาจเป็นเทพหรือเคยเป็นเทพมาก็ดี แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ คุณก็จะต้องเข้าใจมนุษย์ว่าพวกเขามีเสรีภาพที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้นี่ไม่ใช่ความขี้เกียจอะไร อย่าคาดหวังกับมนุษย์จนเกินจริงว่าพวกเขาจะต้องทำได้อย่างคุณ พวกเขาอาจไม่อยากทำแล้ว ในขณะที่คุณกำลังทำอย่างขยันเว่อร์ๆ มันก็ไม่แปลกตรงไหน หากคุณยอมรับความเป็นจริงได้ว่าพวกเขา ก็แค่มนุษย์ พวกเขาไม่ใช่เทพ คุณไม่คาดหวังกับเขามากเกินไป ไม่บีบคั้นเขามากเกินไป มนุษย์ก็จะอยู่แบบมนุษย์ ไม่มีอาชีพหรือตำแหน่งใหญ่โตอะไร อยู่แบบคนธรรมดา ส่วนพวกที่เป็นเทพในร่างคนก็จะได้ทำงานที่สำคัญไป

เพราะเทพมีหน้าที่ดูแลโลก ส่วนมนุษย์ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบขนาดนั้น!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?