การยอมทำกรรมของโพธิสัตว์
การยอมทำกรรมนั้นจะแตกต่างจากคนทั่วไป
ต่างจากปีศาจ, ซาตาน ในบทความจะขออธิบาย ดังต่อไปนี้
๑ เป็นธรรมะ ธรรมชาติจากภายใน
คือ มันไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้จากภายนอกว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้อะไร
ไม่ได้มาจากสมองคิดว่าควรทำอย่างนั้นอย่างนี้อะไร แต่มันมาจากจิตสำนึกส่วนลึกๆ
เหมือนคนโง่ๆ ที่ทำกรรมไปโดยไม่รู้จักคิด
ต่างกันตรงไม่ได้ทำเพื่อสนองกิเลสส่วนตัวครับ ไม่มีกิเลสตัวไหนขับดันให้ทำ แต่ทำไปโดยจิตสำนึกส่วนลึกจริงๆ
หลายคนยังไม่ใช่ เพราะยังทำด้วย “สมองคิด” อยู่นะครับ ไม่ได้มาจากจิตสำนึกส่วนลึกจึงไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ
๒ มักขัดแย้งกับสมองและความคิด
คือ เมื่อโพธิจิตบังเกิดขึ้นแล้วนั้น คนผู้นั้นยอมทำกรรมเพื่อผู้อื่นไปโดยจิต
เพราะโพธิจิตนั้นเอง มิใช่เพราะสมองและความคิด เมื่อนั้นเอง ก็จะมาคิดทีหลังและมักขัดแย้งกับตัวเองว่า
“กูทำไปทำไมว๊า? กูไม่น่าทำเลย” เพราะทำแล้วตนไม่ได้อะไรด้วย
ทำเพื่อคนอื่นทั้งนั้น แถมยังเป็นกรรมแก่ตัวอีกด้วย สมองนั้นชอบใช้ความฉลาด
แต่จิตนั้นใช้ความใสซื่อ มันเลยขัดแย้งกันเอง ถ้ามั่นใจมากเกินไป
อาจถูกหลอกให้หลงครับ
๓ มักขัดแย้งกับคนรอบข้างไปหมด
คือ ไม่มีใครมาสนับสนุน ยกย่อง สรรเสริญ
มีแต่คนมาขัดแย้ง ต่อว่า ขัดขวาง อันนี้คือธรรมชาติของการบำเพ็ญโพธจิตนะ
เพราะอะไร? เพราะการที่เรากำเนิดใหม่เป็นโพธิสัตว์นั้น เราเริ่มจาก 0 จากตัวเราก่อน
เราจะยังไม่มีบริวารอะไรเลย ย่อมไม่มีใครอยู่ข้างเราเป็นธรรมดา
เราต้องบำเพ็ญเหมือนพระถังซัมจั๋งก็ได้ลูกศิษย์แค่สามตนครับ แต่ถ้าอยู่ๆ
มาหลงบูชาเราเต็มไปหมด แบบนี้ไม่ใช่ละ เราอาจเป็นร่างซาตานครับ
๔ มักนำไปสู่ความตายจากภายใน
คือ
การจะสำเร็จโพธิจิตได้นั้นจะต้องตายจากปุถุชนก่อน เมื่อจิตวิญญาณเก่าตายแล้วก็จะเกิดใหม่เป็นพระโพธิสัตว์ได้
ดังนั้น แทนที่บำเพ็ญโพธิจิตแล้วจะดูดี ตรงข้ามอาจดูแย่เหมือนจะตายรอมร่อก็ได้
อันนี้เป็นทางที่จะนำไปสู่การกำเนิดใหม่เท่านั้นเอง เราจะต้องผ่านตรงนี้ไปให้ได้
เพราะทุกคนเกิดมาปั้บจะมีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์อยู่ก่อน ยังไม่มีใครเป็นโพธิสัตว์ตั้งแต่เกิดครับ
ยกเว้นการเกิดแบบ “โอปปาติกะ” (ไม่ใช่มนุษย์)
๕ เมื่อสำเร็จแล้วกลับโดดเดี่ยว
คือ
เมื่อเราตายจากจิตวิญญาณเก่า พันธกรรมที่ผูกโยงเรามันจะขาดสะบั้นเหมือนเราเป็นตัวใหม่
เกิดใหม่แล้ว เจ้ากรรมนายเวรคนที่ผูกโยงกับเรามันจะหายไปเรื่อยๆ
ราวกับไม่มีอยู่ในชีวิตของเราเลย จากนั้น มันก็จะมีคนใหม่เข้ามาแทนได้
แต่มันจะมาทีละคน ทีละน้อยนะ เหมือนล้างไพ่ทุกอย่าง 0 หมด คนที่สำเร็จแล้วก็เลยเหมือนคนโดดเดี่ยว
ไม่มีใครเอื้อมถึงนั่นเอง
ในขณะที่คนที่ยังไม่สำเร็จ กลับมีคนห้อมล้อมเต็มไปหมด
๖ เป็นการยอมทำกรรมแบบเฉพาะ
คือ
“ยอมทำกรรมเพื่อให้สัตว์อื่นได้หลุดพ้นไปก่อนตน”
ไม่ใช่ยอมทำกรรมเพื่อให้ครอบครัวมีเงิน ร่ำรวยขึ้น
นี่ไม่ใช่โพธิจิตนะ เป็นจิตปุถุชน คนละอย่างกันเลย เช่น คุณอาจอยากบวชตลอดชีวิต อยากหลุดพ้นแล้วแต่เพราะมีภัยก่อกวนศาสนา
คุณก็เลยยอมทำกรรมเล่นงานคนพวกนั้นไป
แต่คุณก็รู้ว่าทำกรรมนั้นแล้วคุณจะไม่หลุดพ้นนะ แต่คุณก็ยังทำ แบบนี้โพธิจิต
แต่ไอ้แบบที่ยอมรับเงินผิดศีล เพื่อสร้างวัด อันนี้ไม่ใช่โพธิจิตนะ
๗ เป็นการพร้อมสละบุญให้สัตว์อื่น
คือ เมื่อโพธิสัตว์ยอมทำกรรม
ยอมรับกรรมไว้เองนั้น ท่านก็ไม่ได้ยึดติดในบุญ ไม่ได้บ้าบุญ บ้าความดีอีกละ
ท่านพร้อมยอมให้สัตว์อื่นได้บุญไป ส่วนท่านไม่ได้บุญ ได้แต่กรรมก็ไม่เป็นไร
แบบนี้ละ โพธิจิต ไอ้แบบที่ยังบ้าบุญอยู่คือเปรต, สัมภเวสี ผีหิวบุญ
ไอ้แบบที่ยังอยากสร้างวัดสร้างผลงานอยู่ นั่นคือ เทพ พวกนี้ล้วนมิใช่โพธิสัตว์เลย
พระที่ยอมผิดศีลรับเงินเพื่อสร้างวัดนั้นไม่ใช่โพธิสัตว์ แต่เป็นวิถีการบำเพ็ญของสายเทพครับ
ผู้ที่ยอมทำกรรม
เปื้อนมือเพื่อคนอื่นได้นั้น มีคุณธรรมสูงกว่าแน่นอน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น