ฆราวาสจะเป็นพระแท้ได้อย่างไร?




ฆราวาสหลายคนหลงตัวเองคิดว่าปฏิบัติได้มากกว่าพระ แท้จริงแล้วไม่ใช่นะครับ หลายคนแค่มีความรู้มากก็แค่นั้นเอง และอีกหลายคนแค่ถูกพลังแฝงพลังครอบงำเท่านั้น ทำให้หลงตัวเองคิดว่าตนคือพระ ดังนั้น ในบทความนี้จะขออธิบายว่าฆราวาสจะสามารถปฏิบัติเหมือนพระได้อย่างไรโดยไม่ต้องบวช? ดังต่อไปนี้

สละทางโลก
พระที่ท่านบวชตลอดชีวิตจริงๆ นั้นท่าน “เบื่อหน่ายทางโลก” แล้วจริงๆ ท่านไม่เอาอะไรกับทางโลกแล้ว แต่ฆราวาสหลายคนที่หลงว่าตัวเองสูงส่งเหมือนพระนั้น ยังไม่อิ่ม ยังไม่เบื่อหน่ายทางโลกจริงๆ ภาษาบาลีว่า “นิพพิทาญาณ” หมายความว่าญาณที่ทำให้เบื่อหน่ายทางโลกหรือเรื่องโลกๆ ครับ คือ มันเบื่อไปหมด ไม่อยากอะไรกับใครอีกแล้ว ใครจะมาอะไรๆ กับเราด้วยเราก็ไม่อยากอะไรด้วยอีกแล้ว ไม่ชอบพบปะอะไรกับใคร เบื่อจริงๆ เบื่อโลก เบื่อเรื่องโลกๆ ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, ความสุข ฯลฯ อะไรนั้น ไม่เอาแล้วจริงๆ นะครับ ฆราวาสหลายคนยังทำแบบนี้ไม่ได้ แต่หลงตัวเองคิดว่าตัวเองเทียบเท่าพระเพราะเห็นข่าวไม่ดีของพระครับ

สละเพศ-ลูกเมีย
หลายคนสละไม่ได้นะ จิตยังวนเวียนอยากมีคู่อยู่เสมอ อยากมีแฟนอยู่เสมอ แต่ “แอ๊บเก่ง” ใครจะแอ๊บได้เนียนกว่ากันเท่านั้นเอง น้อยคนนักที่จะมีจิตเบื่อหน่ายเรื่องลูกๆ เมียๆ คือ ไม่เอาแล้วลูก ไม่เอาแล้วเมียน่ะ น้อยคนมากๆ ครับที่จะมีจิตระดับนี้ได้ บางคนไม่เอาลูกตัวเองไปเอาลูกคนอื่น ไปเรียกคนอื่นว่าลูกก็มีนะ ถามว่าทำไม? มันคือ “กลไกลทดแทนทางจิต” ไงครับ ความอยากของเรายังมี ตัดไม่ขาด แต่ลูกของเรานั้นให้เราไม่ได้ เช่น ลูกไม่เคารพเรา ไม่กราบไหว้เรา คนอื่นมาเคารพเรา มากราบไหว้เรา เราก็เลยชอบเลยกับอะไรแบบนี้ อันนี้เรียกว่ายังสละลูกเมียไม่ได้ แต่ใช้กลไกลทดแทน คือ หาคนอื่นมาเป็นตัวแทนลูกของเรา

๓ จิตวิเวกสันโดษ
ฆราวาสจะปฏิบัติอย่างพระได้ต้องมีจิตวิเวกสันโดษ คำว่าวิเวกสันโดษคือ ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่ชอบให้คนห้อมล้อมอะไรตน หากจิตไม่สงบสุข ไม่วิเวกสันโดษก็จะรู้สึก “เหงา” ครับ เมื่อเหงาก็จะเข้าหาสังคม ชอบให้คนมาห้อมล้อมตัวเอง ฆราวาสหลายคนมาตกม้าตายตรงนี้ คือ ปฏิบัติธรรมไปแล้วอยากได้สาวกบริวาร มาห้อมล้อมหน้าหลังตน อันนี้เรียกว่าเสื่อมละ คนเราถ้ามีฌานดี จิตสงบสุขดี จะไม่นิยมอะไรแบบนี้ เขาจะชอบอยู่อย่างสงบวิเวก คนเป็นพระ มีใจเป็นพระ ชอบความสงบวิเวกทุกคนละครับ แต่ฆราวาสที่หลงตัวเองว่าตนเทียบเท่าพระนั้น พวกนี้ไม่ผ่าน จะนิยมมีสาวกบริวารห้อมล้อมหน้าหลัง

๔ ยอมรับอย่างแท้จริง
พระนั้นเรียกอีกอย่างว่า “ภิกษุ” คนเราจะเป็นภิกษุได้จะต้องรู้จักการรับ การยอมรับความจริง อยู่อย่างผู้รับ แต่ถามว่าเราต้องการอะไรทางโลกไหม? ไม่ใช่เลย เราสละทางโลกหมดแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่ต้องการแล้ว แต่เขาให้เราๆ ก็รับไป ด้วยจะได้อยู่ร่วมกับชาวโลกเขาได้ เท่านั้นเอง วิถีแห่งการให้นั้นเป็นของโยมเขาที่เขาคิดสร้างบุญบารมีไปต่อยุคหน้า แต่วิถีแห่งการรับนั้นเป็นวิถีของพระ อย่าไปสอนว่าการให้ดีกว่าการรับ เพราะมันจะทำให้คนมองเปรียบเทียบเหมือนว่าเธอดีกว่าพระ เพราะเธอให้แล้วเอามาอวดโชว์คนอื่นเขา แต่พระนี่ไม่มีอะไรจะให้ใครอีกแล้ว ถ้าสอนใครแบบนั้น พระพุทธศาสนาจะได้รับผลกระทบ คนจะไม่ชอบพระได้ครับ

๕ หมดความบ้าบุญ
พระที่แท้จริงนั้นท่านไม่บ้าทำบุญนะ ท่านไม่หลงบุญ ไม่เอาแล้วแม้แต่บุญ บุญกรรมมันมีอยู่ก็จริง แต่จิตที่หลงบุญบ้าบุญมันหมด พระเลยไม่คิดว่าจะต้องมีเงิน เรี่ยไรเงินจากโยมไปสร้างบุญบารมีอะไรอีก ไม่เอาละ นี่คือ พระแท้เขาเป็นแบบนี้กัน ส่วนฆราวาสที่หลงตัวเองว่าเทียบเท่าพระ ส่วนใหญ่ตกม้าตายเรื่องนี้ จะบ้าบุญ ชอบทำบุญ ทำความดี เอาไว้อวดโชว์ผู้คน ให้ผู้คนมายกย่องตัวเองว่าเป็นคนดีครับ นี่ละ พวกนี้เลยไม่อาจเป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริงแบบพระได้ พระท่านอยู่ได้ด้วย “ธรรมวินัย” ไม่ใช่อยู่ได้เพราะสร้างผลงาน ทำความดี ทำบุญบารมีอะไร? ไม่ใช่นะครับ ธรรมวินัยไม่ได้สอนให้ไปทำอะไรอย่างนั้น (แต่หลายคนไม่เข้าใจ)

หลายคนไม่ได้อย่างพระ เพราะยังบ้าความดี, บ้าบุญ เมาบุญอยู่ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?