สิ่งหลอกล่อทางธรรม
สิ่งหลอกล่อทางโลกนั้นมีมากมายแล้ว หลายคนเลยหันเข้าสู่ทางธรรม ทว่า
ในทางธรรมก็มีสิ่งหลอกล่อมากไม่ต่างกัน ทำให้ไม่สำเร็จธรรมได้ครับ หลายคนประมาทคิดว่าหนีทางโลกมาสู่ทางธรรมแล้วจะสบาย
ไม่มีสิ่งใดมากวนใจ มาหลอกล่อให้เราหลงทางได้อีกแล้ว ไม่จริงนะครับ ในบทความนี้จะขออธิบายดังต่อไปนี้
๑ ลาภสักการะ
ลาภสักการะนั้นเป็นของทางโลกจัดอยู่ใน “โลกธรรมแปด” คือ ได้ลาภ,
เสื่อมลาภ, ได้ยศ, เสื่อมยศ, มีสุข, มีทุกข์, สรรเสริญ, นินทา ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วไม่อาจหลุดพ้นทางโลกได้จะต้องข้องอยู่ในโลกธรรมแปดนี้
ทว่า พวกเขาจะคิดไปเองว่าพวกเขาไม่ได้ลุ่มหลง พวกเขาแค่รับไว้เฉยๆ ไม่ได้อยากได้
ไม่มีเจตนาอยากได้แล้ว นี่คือความไม่มีสตินะ คนที่เขามีสติเขาจะตื่นแล้วไม่
“จมจ่อม” อยู่ในกองโลกธรรมแปดแบบนี้ ไม่นั่งแช่ให้ใครมาไหว้ มาสรรเสริญ
มาให้ลาภยศ, เงินทอง ไม่มีนะ เขาตื่นแล้วปุ๊บ จะเหมือนนกที่โผบินออกจากกรง
แล้วไม่ยอมกลับเข้ามาอีก ต่อให้เอาลาภสักการะมาหลอกล่อเท่าใดก็ตาม เพราะอะไร?
เพราะเขาตื่นแล้วไงครับ
๒ ความรู้ความฉลาด
ความรู้ความฉลาดนั้นมิใช่ปัญญา ตรงข้าม ผู้มีปัญญาอาจไม่มีความรู้อะไรเลย
ไม่จบอะไรเลยก็ได้ แถมยังไม่ใช่คนฉลาดอีกด้วย แต่เขามีปัญญาสว่างไสวแล้วย่อมไม่ถูกทางโลกหลอกโดยง่าย
เดี๋ยวนี้ของปลอมทางโลก ทำเลียนแบบปัญญา ทำให้คนคิดว่าเขามีปัญญาแล้ว
สำเร็จธรรมแล้ว เป็นอรหันต์แล้ว คือ ความรู้และความฉลาดนี่ละ
เมื่อเราเริ่มรู้อะไรมากๆ เข้า เราจะหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองมีธรรมแล้ว
ตัวเองเก่งแล้ว มันจะไปเก่งเหี้ยอะไรได้ละ ในเมื่อมันไม่ได้ตรัสรู้เองเลย มันแค่ไปอ่าน
ไปฟัง ไปลอกข้อสอบที่คนอื่นเขาตรัสรู้ไว้ให้แล้วเท่านั้นละ ตื่นเสียทีนะ
คนที่ยังหลงความรู้ ความฉลาดอยู่น่ะ พระป่าท่านไม่หลงสิ่งเหล่านี้แล้วละครับ
๓ อิทธิฤทธิ์-พลัง
เมื่อปฏิบัติทางจิตมากๆ อาจทำให้เราได้อภิญญา ได้อิทธิฤทธิ์
ได้พลังจิต สิ่งนี้อาจกลายเป็นเครื่องหลอกล่อให้เราลุ่มหลงได้ เราอาจคิดว่าเราไม่ได้หลง
แต่บางทีไม่จริง เขาเลยแนะนำให้มีกัลยาณมิตรไว้คอยเตือนสติกัน
เวลาผู้เขียนใช้อิทธิฤทธิ์เพื่อทำกิจในโลกทิพย์นั้น
จะมีกัลยาณมิตรคอยช่วยอยู่ด้วยเสมอ เพราะมันหลงได้ง่ายมากๆ ครับ เช่น เราคิดไปเองว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้
เพราะเราเห็นมาแบบนั้นแบบนี้ เห็นภาพอดีตชาติมีท้องพระโรง มีพระราชา มีขุนนาง ฯลฯ
ก็ไม่ได้แปลว่าเราคือพระราชา เราอาจเป็นใครก็ไม่รู้ในนั้นก็ได้ นี่หละ เวลาจะหลง
มันจะหลงแบบนี้ เห็นน่ะเห็นจริง แต่ที่เห็นน่ะ มันคืออะไร? เอาให้มันจริงๆ ชัดๆ
ไม่ใช่คิดไปเอง
๔ ของทิพย์วิเศษ
ผู้ปฏิบัติจิตขั้นสูงอีกแบบจะหลงสวรรค์, ของทิพย์วิเศษ ฯลฯ
แม้ว่าจะมีอยู่จริงในอีกมิติ ทว่า ถ้าเราหลง มันก็คือหลงน่ะละ ของมันมีในอีกมิติ
มันก็ของในอีกมิติ เราอยู่ในมิติปัจจุบันนี้คือ โลกมนุษย์
เราก็ต้องอยู่อย่างมนุษย์จริงไหม? บางท่านถอดกายทิพย์ได้ กลับไปดูวิมานเก่าของตนเอง
มีทุกอย่างอลังการมาก เช่น วิมานแก้ว วิมานทองคำ, บัลลังก์แก้ว, บัลลังก์ทองคำ ฯลฯ
ระดับนั้นเลยนะ แต่เมื่อเรามาทำกิจในรูปของมนุษย์ ในนามคนธรรมดาแล้ว
เราก็ต้องมีสติรู้เท่าทันปัจจุบันว่าเราคือใครในเวลานี้ด้วย
ของทิพย์วิเศษนั้นใช้ได้อยู่ แต่ใช้เพื่อทำกิจ มิใช่ลุ่มหลงแล้วลืมว่าเรามาเกิดเป็นมนุษย์นะ
เราจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่และทำอย่างมนุษย์
๕ บุญ-ตัวตน
การหลงบุญหลงตัวตน เช่น หลงความเป็นเทพ, ความเป็นโพธิสัตว์, ความเป็นพุทธะฯลฯ
อาจเกิดได้เช่นกัน หลายคนหลงบุญกันมาก อยากทำบุญมากๆ เพื่อให้ชาติหน้ามีบุญเยอะๆ
ที่ไหนได้ เราทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีบุญมากมาเกิดกันทั้งนั้น เราไม่ได้มีบุญมากเพราะทำบุญสร้างวัดอะไรหรอก
หลายคนพลีชีพเพื่อชาติ ไปทำสงครามมาต่างหาก สละชีวิตตัวเองคิดดูผลบุญเท่าไร?
พอมาเกิดชาตินี้ ไปหลงกับบุญที่มันไม่ใช่ คิดว่าเรานี้ดีนักที่ทำบุญเล็กๆ น้อยๆ
ที่ไหนได้ ลืมตัวเองว่าตัวเองเคยทำอะไรมา สร้างบารมีมาอย่างไร เหมือนทหารที่ภูมิใจที่ได้ช่วยนกที่ตกจากรัง
แต่กลับไม่ยอมไปทำหน้าที่ของทหาร หนีทัพอยู่ แบบนี้มันใช่หรือเปล่าครับ?
สิ่งหลอกล่อทางธรรมนั้นมีมากมายไม่แพ้ทางโลกเลยละครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น