การดำรงอยู่ในโลกใบนี้เป็นไฉน?
ดังที่ได้กล่าวแล้วในบทความก่อนๆ ว่า การบรรลุธรรมไม่ใช่การหลงยึดติดในความว่างเปล่า
ในปรัญชาใดๆจนละเลยว่าชีวิตยังต้องกิน, ต้องนอน, ต้องใช้เงิน ฯลฯ จนไร้สติกับปัจจุบันอย่างที่มันเป็น
ตรงข้าม ผู้สำเร็จธรรมนั้นจะต้องมี “จริยาวัตร” ในการดำรงอยู่ในโลก ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความ
ดังต่อไปนี้ครับ
๑ เราลงมาชำระบาปตัวเอง
คนเราทุกคนล้วนมีบาปมีกรรมทำมาทั้งนั้น ดังนั้น เราจึงต้องมาชำระบาปตัวเองในโลกนี้ การชำระบาปนั้นมีหลายแบบครับ
เช่น มีกรรมทำให้ป่วยหนัก, ถูกลงทัณฑ์, สูญเสียของรัก, การต้องเป็นทาสรับใช้ผู้อื่น
ฯลฯ การดำรงอยู่ในโลกมนุษย์มิใช่การดำรงอยู่ในสวรรค์
จะคิดมาหาความสุขในอุดมคติแบบอยู่บนสวรรค์มันก็เป็นไปไม่ได้
เราต้องอยู่กับความจริงของโลกที่มันเป็นณ ปัจจุบันนี้ต่างหาก แน่นอนว่ามันไม่สวยงามเหมือนดั่งในความฝันของเรา
แต่นี่แหละ ที่ทำให้เราได้ชำระบาป ได้ชดใช้หนี้ของเรา จริงไหมครับ?
ถ้าเราเอาแต่อยู่สุขสบายไปวันๆ เหมือนอย่างเทพบนสวรรค์ เราก็ไม่ได้ชดใช้หนี้กรรม
ไม่ได้ชำระบาปอะไรให้ตัวเองเลยครับ
๒ สองระบบในโลกคืออะไร?
ในโลกของเรามีอยู่สองระบบใหญ่ๆ นะคือ ระบบธรรมชาติกับระบบการปกครองเช่น
ในป่าไม่มีการปกครอง แต่มันก็มีระบบนิเวศน์ของมัน มีการกินกันเป็นทอดๆ ของสัตว์
มีการล่าของผู้ล่ามีความตายของเหยื่อในป่านั้น เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน
อย่าคิดว่ามันมีแต่ความสวยงามละ นั่นคือ อะไรที่อยู่นอกระบบการปกครองครับ
เหมือนมนุษย์เราถ้าไม่มีระบบการปกครองแล้ว บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟ มีแต่ความป่าเถื่อน
ใครอยากทำอะไรก็ทำ อยากขโมยของ, อยากข่มขืน, อยากฆ่าคน ฯลฯ ก็ทำ มันก็คือความป่าเถื่อนนั่นเอง
เพื่อไม่ให้มีความป่าเถื่อนมากเกินไปในสังคมมนุษย์ สวรรค์จึงส่งเทพลงมาสร้างระบบการปกครองขึ้นมา นั่นเองครับ
๓ การชำระกรรมจากเจ้ากรรมนายเวร
การชำระกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรคือ การชำระกรรมแบบป่าเถื่อน แบบธรรมชาติ
แบบไร้การปกครอง คือ ปล่อยไปตามธรรมชาติ ใครอยากฆ่า อยากแกงใครก็เอาเลย
เอาที่สบายใจ นั่นเอง และเจ้ากรรมนายเวรจะไม่ยอมให้เราเข้าไปยุ่งด้วยครับ
หากเราเข้าไปยุ่ง เราจะได้รับความโกรธแค้นจากเจ้ากรรมนายเวร จนอาจถูกกระทำแทนก็ได้
เราไปช่วยเขาให้พ้นกรรม เราเองก็อาจต้องรับกรรมแทนเองครับ
ผู้เขียนได้เจอหลายคนที่ชอบใช้พลังจิตรักษาโรคคน แรกๆ ก็ไม่เป็นไร ดูดี แต่พอหมดพลังบุญ
เทพเทวดาหามีช่วยไม่ ทุกท่านก็หนีหมด ปล่อยให้เจ้ากรรมนายเวรทำไป ไม่ยุ่งด้วยครับ
หลายคนป่วยหนัก นอนซม อันนี้เห็นมาหลายรายแล้ว
๔ การชำระกรรมจากระบบการปกครอง
การชำระกรรมอีกระบบคือ การชำระกรรมผ่านระบบการปกครองแบบใดแบบหนึ่ง ภายใต้ผู้นำที่สวรรค์ส่งมาที่มีบุญบารมีพอทำกิจนี้ได้ครับ
แบบนี้ ผู้นำจะมีบุญบารมีของตนรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าผู้นำไม่ระวังตัว หลงเหลิงในอำนาจ
กระทำการณ์เกินขอบเขตหน้าที่ ผู้นำนั้นก็จะต้องรับผลกรรมนั้นไว้เอง แต่ผู้ถูกปกครองจะได้รับการชำระกรรมได้ครับ
ด้วยการยอมรับใช้ผู้นำคนนั้น การทำงานรับใช้ถือเป็นการชำระบาปให้ตัวเองได้ด้วย
แต่ต้องเป็นไปด้วยความเต็มใจ ไม่มีเงื่อนไข
ไม่ใช่ทำงานเพื่อหวังเงินหรือสิ่งตอบแทน แบบนั้นจะไม่ได้รับการชำระบาป ดังนั้น
การชำระบาปไม่จำเป็นต้องรับจากเจ้ากรรมนายเวรเสมอไป
๕ การกระทำอันแท้จริง กิจที่แท้จริง
ดังที่กล่าวแล้วว่าการทำงานรับใช้ผู้อื่นเป็นแค่การชำระบาปอย่างหนึ่งเท่านั้น การทำงานเหล่านี้จึงไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ
ไม่ใช่การกระทำอันแท้จริง ยิ่งไม่ใช่กิจที่แท้จริงของเรา
เราแค่ทำงานใช้หนี้กรรมเท่านั้นเอง อ้าว แล้วการกระทำอันแท้จริง, กิจที่แท้จริงของเราละคืออะไร?
ก็คืออะไรที่มันไม่ใช่การทำงานเพื่อใช้หนี้น่ะละ แต่เป็นการกระทำที่ออกมาจากใจที่อิสระของเราจริงๆ
หรือการกระทำด้วย “เจตจำนงเสรี” นั่นเอง เรานี้มาเกิดยังโลกเพื่ออะไร?
เพื่อภารกิจอะไร? เพื่อทำสิ่งใด? หลายคนก็ลืม คิดไม่ออกเพราะถูกครอบงำไปด้วยอิทธิพลกลุ่ม,
กระแสสังคม ฯลฯ การทำงานต่างๆ ทำให้เราไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดว่าเราต้องการอะไรจริงๆ
?
เมื่อใช้หนี้บาปหมดแล้ว ก็มีกำไรชีวิตเหลือพอที่จะทำงานได้อย่างอิสระครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น