องค์รวมของภูมิปัญญาที่มนุษย์ควรทราบ
ผู้บรรลุธรรมมิใช่แค่บ้าความว่างเปล่า แล้วทุกอย่างมันจะจบได้ครับ ทุกวันยังต้องกิน ต้องใช้หรือเปล่า? นี่ต่างหากคือ “ชีวิตจริง” มันไม่ใช่ความว่างเปล่าที่เราจะมาบ้าคลั่ง พล่ามพรรณาแข่งกันอย่างนั้น จริงอยู่สิ่งต่างๆ อาจมีสภาพคล้ายความว่างเปล่า แต่เราจะไปยึดมันไม่ได้ เราควรรู้อะไรมากกว่านั้น ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ว่าด้วยธรรมะ ธรรมชาติ
ผู้บรรลุธรรมควรตื่นแจ้ง ตระหนักรู้ถึง “ธรรมะ ธรรมชาติ” ที่แท้จริง ว่ามิใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงสิ่งเดียว ที่เราจะต้องยึดถือไว้ แล้วสิ่งอื่นๆ ก็คิดว่าผิดหมด จึงละเลย ขาดสติกับธรรมตัวอื่นๆ ไปหมด แบบนั้นก็ไม่ใช่แล้วครับ ตรงข้ามผู้บรรลุธรรมจะตระหนักรู้แล้วปล่อยวาง คลายออกเสียจากธรรมใดธรรมหนึ่ง เพราะการยึดถือธรรมใดธรรมหนึ่ง นั้นล้วนเป็นอัตตา ก่อให้เกิด “ธรรมอัตตา” ขึ้นได้ จากนั้นจะสว่างโดยรอบถ้วนทั่วถึงธรรมทั้งมวลว่า “ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน” แลเห็นความเป็นกลางของธรรมทั้งหลาย ไม่มีถูกหรือผิด, ดีหรือชั่ว, บวกหรือลบ ไม่มีธรรมใดเอนเอียงไปทางใดมากกว่ากันนี่ละ “ความเป็นกลางตรงต่อธรรม” คือ ธรรมะ ธรรมชาติ
๒ ว่าด้วยโลก และกรงขัง (ระบบการปกครอง)
ต่อมา ผู้บรรลุธรรมจะเริ่มเห็นโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่โลกในความฝัน, โลกในทฤษฎี, โลกในอุดมคติของใครทั้งนั้น แต่เป็นโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ ก่อนนั้น ผู้บรรลุธรรมไม่แจ้งโลก ไม่ตื่นจากโลก ย่อมไม่เห็นโลกตามจริงอย่างที่เป็น แต่พวกเขาจะเห็นโลกในอีกแบบ “ในมุมมองของตนเอง” บางคนก็มองว่าโลกนี้ดีจริง มีอะไรให้ลุ่มหลงมากมาย บางคนก็มองว่าโลกนี้โหดร้ายเหลือเกิน ยากที่จะอยู่ได้ ฯลฯ แท้แล้วโลกมันก็เป็นเช่นนั้นของมันเอง มันเป็นแค่โรงละคร สมมุติมายาการ ที่สร้างขึ้นเพื่อให้สัตว์ชั้นต่ำทั้งหลายยังคงอยู่ได้ เพราะสัตว์เหล่านั้นยังไม่พร้อมที่จะอยู่โดยไม่มีโลก พวกเขาจึงต้องอยู่ในโลกอย่างผู้มีโลกเป็นที่อาศัยต่อไป
ต่อมา ผู้บรรลุธรรมจะเริ่มเห็นโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่โลกในความฝัน, โลกในทฤษฎี, โลกในอุดมคติของใครทั้งนั้น แต่เป็นโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ ก่อนนั้น ผู้บรรลุธรรมไม่แจ้งโลก ไม่ตื่นจากโลก ย่อมไม่เห็นโลกตามจริงอย่างที่เป็น แต่พวกเขาจะเห็นโลกในอีกแบบ “ในมุมมองของตนเอง” บางคนก็มองว่าโลกนี้ดีจริง มีอะไรให้ลุ่มหลงมากมาย บางคนก็มองว่าโลกนี้โหดร้ายเหลือเกิน ยากที่จะอยู่ได้ ฯลฯ แท้แล้วโลกมันก็เป็นเช่นนั้นของมันเอง มันเป็นแค่โรงละคร สมมุติมายาการ ที่สร้างขึ้นเพื่อให้สัตว์ชั้นต่ำทั้งหลายยังคงอยู่ได้ เพราะสัตว์เหล่านั้นยังไม่พร้อมที่จะอยู่โดยไม่มีโลก พวกเขาจึงต้องอยู่ในโลกอย่างผู้มีโลกเป็นที่อาศัยต่อไป
๓ ว่าด้วยมนุษย์ และศิลปะ
เมื่อโลกเป็นดั่งโรงละครมายา เป็นแค่สมมุติเท่านั้น แต่มันก็มีเหตุผลที่จะต้องมี จะต้องเป็นเช่นนั้น ดังนั้น มนุษย์เราเมื่อมาเกิดในโลกแล้ว จึงต้องปรับตัวเข้าหาโลก และทำให้โลกปรับเปลี่ยนไปตามเราด้วย เช่นนี้ มนุษย์จึงต้องมีการกระทำภายใต้ “บทบาทสมมุติ” ที่ได้รับ เพื่อทำหน้าที่ภายใต้โลกสมมุติ ภายในโรงละครแห่งนี้ เราเรียกการกระทำของมนุษย์นี้ว่า “ศิลปะ” กล่าวคือ มนุษย์ไม่ได้ถูกธรรมชาติสร้างมาให้เป็นพระอิฐพระปูน แต่ก็ไม่ได้สร้างมาให้ทำงานหนักเหมือนวัวเหมือนควาย เรามีการกระทำที่ “พอดี” ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป เรียกว่า “ศิลปะ” (ที่ไม่ใช่แค่การวาดภาพ) หรือในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “สัมมากัมมันตะ” ก็ได้
เมื่อโลกเป็นดั่งโรงละครมายา เป็นแค่สมมุติเท่านั้น แต่มันก็มีเหตุผลที่จะต้องมี จะต้องเป็นเช่นนั้น ดังนั้น มนุษย์เราเมื่อมาเกิดในโลกแล้ว จึงต้องปรับตัวเข้าหาโลก และทำให้โลกปรับเปลี่ยนไปตามเราด้วย เช่นนี้ มนุษย์จึงต้องมีการกระทำภายใต้ “บทบาทสมมุติ” ที่ได้รับ เพื่อทำหน้าที่ภายใต้โลกสมมุติ ภายในโรงละครแห่งนี้ เราเรียกการกระทำของมนุษย์นี้ว่า “ศิลปะ” กล่าวคือ มนุษย์ไม่ได้ถูกธรรมชาติสร้างมาให้เป็นพระอิฐพระปูน แต่ก็ไม่ได้สร้างมาให้ทำงานหนักเหมือนวัวเหมือนควาย เรามีการกระทำที่ “พอดี” ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป เรียกว่า “ศิลปะ” (ที่ไม่ใช่แค่การวาดภาพ) หรือในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “สัมมากัมมันตะ” ก็ได้
๔ ว่าด้วยการเลื่อนระดับ และความหลุดพ้น
การกระทำของมนุษย์ที่เรียกว่าศิลปะได้นั้น จะต้องเป็นไปเพื่อ “สุนทรียภาพ” ของการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากเป็นไปเพียงเพื่อกิน, ขี้, ปี้, นอน ฯลฯ แล้ว ย่อมไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน การกระทำเช่นนั้นย่อมไม่นับว่าเป็นศิลปะ และในความหมายของคำว่าสุนทรียภาพนั้นก็คือ มนุษย์จะต้องมีความสุขที่ละเอียดอ่อน ประณีตมากขึ้น มิใช่มีความสุขแบบหยาบๆ ด้วยรสนิยมต่ำๆ เหมือนเดิมหรือแบบเดิม ดังนั้น การยกระดับให้มนุษย์มีสุนทรียภาพ มีรสนิยมสูงขึ้น และกระบวนการยกระดับนี้เอง มนุษย์จะ “หลุดพ้น” จากระดับต่ำๆ เดิมๆ ที่เคยยึดถือมา (คำว่าหลุดพ้นมิใช่หมายความว่าไม่อยู่ในอะไรเลย แบบนั้นมันก็สุดโต่งเกินไปครับ)
การกระทำของมนุษย์ที่เรียกว่าศิลปะได้นั้น จะต้องเป็นไปเพื่อ “สุนทรียภาพ” ของการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากเป็นไปเพียงเพื่อกิน, ขี้, ปี้, นอน ฯลฯ แล้ว ย่อมไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน การกระทำเช่นนั้นย่อมไม่นับว่าเป็นศิลปะ และในความหมายของคำว่าสุนทรียภาพนั้นก็คือ มนุษย์จะต้องมีความสุขที่ละเอียดอ่อน ประณีตมากขึ้น มิใช่มีความสุขแบบหยาบๆ ด้วยรสนิยมต่ำๆ เหมือนเดิมหรือแบบเดิม ดังนั้น การยกระดับให้มนุษย์มีสุนทรียภาพ มีรสนิยมสูงขึ้น และกระบวนการยกระดับนี้เอง มนุษย์จะ “หลุดพ้น” จากระดับต่ำๆ เดิมๆ ที่เคยยึดถือมา (คำว่าหลุดพ้นมิใช่หมายความว่าไม่อยู่ในอะไรเลย แบบนั้นมันก็สุดโต่งเกินไปครับ)
๕ ว่าด้วยสัมพันธภาพ และการยึดโยง
และเพื่อ “สมดุลยภาพองค์รวม” มนุษย์จะหลุดพ้นหรือเลื่อนระดับ “ตามอำเภอใจ” มิได้ เพราะโลกถูกสร้างมาด้วยมนุษย์ เมื่อมนุษย์ฐานล่างหลุดพ้นหมด มนุษย์ฐานยอดก็อยู่ไม่ได้ เพราะยอดย่อมอยู่ไม่ได้หากไม่มีฐาน จริงไหมครับ? ดังนั้น การหลุดพ้นจึงต้องมี “วาระของมัน” ด้วย จะทำตามอำเภอใจ ไม่ได้ การดำรงไว้ซึ่งโครงสร้างของการอยู่ร่วมกันมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย นี่เอง ที่นำไปสู่คำว่า “สมดุลยภาพองค์รวม” ที่จะต้องมี มันคือ “ดุลยภาพของจักรวาล” ด้วย มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจึงถูกพลังงานยึดโยงกันไว้ เรียกว่า “สัมพัทธภาพแห่งชีวิต” พลังงานยึดโยงนี้ในพุทธศาสนาเรียกว่า “กรรม” ที่ผูกสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ด้วยกัน
และเพื่อ “สมดุลยภาพองค์รวม” มนุษย์จะหลุดพ้นหรือเลื่อนระดับ “ตามอำเภอใจ” มิได้ เพราะโลกถูกสร้างมาด้วยมนุษย์ เมื่อมนุษย์ฐานล่างหลุดพ้นหมด มนุษย์ฐานยอดก็อยู่ไม่ได้ เพราะยอดย่อมอยู่ไม่ได้หากไม่มีฐาน จริงไหมครับ? ดังนั้น การหลุดพ้นจึงต้องมี “วาระของมัน” ด้วย จะทำตามอำเภอใจ ไม่ได้ การดำรงไว้ซึ่งโครงสร้างของการอยู่ร่วมกันมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย นี่เอง ที่นำไปสู่คำว่า “สมดุลยภาพองค์รวม” ที่จะต้องมี มันคือ “ดุลยภาพของจักรวาล” ด้วย มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจึงถูกพลังงานยึดโยงกันไว้ เรียกว่า “สัมพัทธภาพแห่งชีวิต” พลังงานยึดโยงนี้ในพุทธศาสนาเรียกว่า “กรรม” ที่ผูกสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ด้วยกัน
และนี่ก็คือ “ภูมิปัญญาทั้งห้า” ที่มนุษย์ควรจะเรียนรู้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น