สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาที่แท้จริง
หลายท่านอาจเข้าใจผิดคิดว่าผู้เขียนเสนอแนวคิดที่อ่อนแอล้าหลังให้ผู้อ่านต้องอยู่อย่างคนจนๆ
ที่ไม่มีปากเสียงใดๆ ไปวันๆ เพราะ “กลัวกรรม” ไม่ใช่นะ
ผู้เขียนแค่ปูพื้นฐานธรรมะขั้นต้น ในบทความนี้จะยกตัวอย่างแนวคิดในการดำรงอยู่อย่างสมศักดิศรีของมนุษย์แบบผู้มีปัญญา
ที่ไม่ใช่แบบปุถุชนหลงโลก ดังต่อไปนี้
๑ ความร่ำรวย
คนที่ยังไม่ตื่นแจ้งโลก
ยังไม่มีปัญญา
ย่อมคิดไม่ต่างจากปุถุชนธรรมดาว่าความร่ำรวยที่แท้จริงคือการได้ถือครองสิ่งของต่างๆ
วัตถุต่างๆ มากมาย อันนี้เป็นแนวคิดของพวก “วัตถุนิยม” นะครับ ในแง่ปรัชญาแนวคิดนี้ถือว่าต่ำมาก
วิวัฒนาการล้าหลังสุด เอาละ ชายจะอธิบายแนวคิดเชิงปรัชญาที่ก้าวหน้ากว่า
สมัยใหม่กว่าว่าความร่ำรวยเขาตีความกันอย่างไร? ความร่ำรวยแบบความหมายใหม่คือ การอยู่ได้โดยไม่ครอบครองฮะ
เช่น คุณสามารถพักค้างคืนที่ใดก็ได้ทั่วไปในประเทศไทยเหมือนพระธุดงค์
แบบนี้เรียกว่า “ร่ำรวยที่อยู่” คือ อยู่ได้กว้างขวางทั่วไปหมด
และสอดคล้องกับคำสอนและการปฏิบัติของพระสงฆ์ในพุทธศาสนาด้วยครับ
๒ ความงดงาม
สำหรับคนโง่
ไร้ปัญญา มืดบอด
จะมีมุมมองต่อความงดงามแบบแนวคิดวัตถุนิยมครับ คือ มองว่าทำยังไง
หน้าตาและรูปร่างที่จับต้องได้ของเรานี้จะเป็นที่นิยมถูกใจผู้คนทั้งหลาย นี่คือ
ปรัชญาที่ล้าหลังมาก ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เอาละ
แนวคิดปรัชญาสมัยใหม่มองความงดงามอย่างไร? เขามองว่าความงดงามคือ สิ่งที่ถูกตีค่าโดยคนแต่มิใช่คุณค่าจากภายในของมันจริงๆ
เช่น คุณเอาพลาสติกกลมยัดหน้าอก คนมองว่าหน้าอกโตคืองดงาม
สิ่งนี้ไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของมัน เพราะตัวจริงของมันคือก้อนพลาสติกไงครับ
ความงดงามจึง เทียบไม่ได้กับศิลปะ
ศิลปะคือชีวิต มิใช่แค่การวาดภาพหรือการปั้น คนที่ใช้ชีวิตมีคุณค่า นั่นละ
คืองดงาม
๓ ความมีชื่อเสียง
ความมีชื่อเสียงโด่งดังที่เราเห็นกันทางโลก
เป็นแค่โลกธรรมแปดที่ไม่เที่ยงแท้ เป็นมายาการไร้สาระ บางคนเป็นดาราดังมานาน ทำผิด
ท้องไม่มีพ่อครั้งเดียว ชื่อเสียงที่ดีกลายเป็นเน่าหมดเลย เห็นไหมครับว่าไม่เที่ยง
และมายาการแค่ไหน? เอาละ กลับมาค้นหา “ความมีชื่อเสียงที่แท้จริง”
กันดีกว่าในมุมของปรัชญายุคใหม่
มองว่าความมีชื่อเสียงอันแท้จริงไม่จำเป็นต้องเป็นที่รู้จักของคนในวงกว้าง
ดังที่กล่าวมาแล้วว่ามันเป็นแค่โลกธรรมแปด มันเป็นมายาการไงครับ แต่ต้องเป็นอะไรที่ทรงคุณค่า
ทำให้คนเกิดความภักดีต่อตราสินค้าได้ เหมือนแบรนด์ดังๆ ที่มีคุณค่าแบรนด์สูงๆ
ไม่ใช่ของชั้นต่ำที่คนรู้จักทั่วไป ทว่า หาความมั่นคงไม่ได้เลย
๔ พลังและอำนาจ
พลังและอำนาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนในยุคนี้ต้องการ
ทว่า พวกเขากลับค้นหาของแท้ไม่เจอ พวกเขาเลยได้แต่ของปลอม
พวกเขาคิดว่าการได้ตำแหน่งจะนำมาซึ่งอำนาจ พวกเขาจึงยึดมั่นถือมั่นในตำแหน่ง
ไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมให้ใคร นั่นเพราะเขาไม่เข้าใจว่า “ภาวะผู้นำ”
ตามธรรมชาติจริงๆ ไม่ต้องมีตำแหน่งทางโลกก็ได้
นายกอาจใช้เงินเป็นพันล้านในการใช้ทีวีชี้นำความคิดคน แต่คนกลับไม่สนใจทำตามเลย
ขณะที่โค้ชเอกอาจไม่ได้ใช้เงินสักบาท กลับทำให้ผู้คนทั้งหลายติดตามเขาได้
เห็นไหมครับ พลังอำนาจที่แท้จริงในธรรมชาติมีอยู่ และแตกต่างจากพลังอำนาจทางโลก
อันเป็นมายาการ เป็นแค่ของจอมปลอมนั้นอย่างไร?
๕ ความมีปัญญา
หลายคนอยากมีปัญญาดีแต่หลงทางโลก
ไม่เข้าใจว่าอะไรคือปัญญา พวกเขาก็จะคิดว่าความฉลาดและความรู้คือปัญญา
ไม่ใช่นะครับ ปัญญาไม่ใช่ทั้งความฉลาดและความรู้ ทว่า คนมากมายแสวงหาความรู้
อยากเรียนมากๆ จบสูงๆ อยากรู้ไปหมด ทว่า นั่นมิใช่ปัญญาที่แท้จริงเลย
ในทางพุทธศาสนาบอกเราได้ชัดเจนมากเรื่องนี้ ทว่า หลายคนอาจยังไม่เข้าใจ
ยังติดอยู่ในทางโลก ยังนิยมการมีความรู้มากและความฉลาดอยู่เลย
ในขณะที่ปัญญานั้นอาจเกิดกับคนโง่ คนที่ไม่มีความรู้อะไรเลยก็ได้
แต่ปัญญาจะให้ความสว่างนำทางเราเพื่อดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างเรียบๆ ง่ายๆ และเอาตัวรอดจากเครื่องพันธนาการต่างๆ
ได้
สิ่งเหล่านี้คือการดำรงอยู่อย่างสมศักดิศรีมนุษย์อย่างแท้จริงครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น