ระดับชั้นของการดำรงอยู่ (Hierarchy of life)




ในบทความก่อนได้กล่าวถึงเรื่อง “ระดับชั้นของจิต” มาบ้างแล้ว ในบทความนี้ จะอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องระดับชั้นของการดำรงอยู่ เพราะหลายคนเข้าใจผิดว่าคนเราทุกคนเท่ากัน แล้วคิดว่าเราจะต้องไปประท้วงเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกัน ให้เรามีรายได้เท่ากัน ซึ่งไม่ถูกต้อง ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้

การดำรงอยู่แบบต่ำกว่ามนุษย์
คนเราอาจมีการดำรงอยู่ที่ต่ำกว่ามนุษย์ได้ หากจิตวิญญาณของเราเสื่อมลงหรือมีวิบากกรรมหนักทำให้เราต้องได้รับผลกรรมนั้น เช่น ทำให้ต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง, การเป็นคนอนาถายากไร้ ฯลฯ อย่างแรกเราต้องรู้ก่อนครับว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้มาดำรงอยู่เช่นนั้น แต่ที่มนุษย์ต้องดำรงอยู่เช่นนั้น มีชีวิตที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานนั้นเพราะเหตุอื่นๆ เช่น เพราะบาปกรรมของมนุษย์เอง, เพราะความเสื่อมของจิตวิญญาณ ฯลฯ เมื่อใดที่เรามีจิตวิญญาณข้างในเป็นเปรต เราต้องอยู่อย่างเปรตไม่ใช่มนุษย์ เมื่อใดที่เรามีจิตวิญญาณเป็นสัตว์นรก เราต้องอยู่อย่างสัตว์นรกไม่ใช่มนุษย์ การดำรงชีพที่ต่ำกว่ามนุษย์นี้ มีให้เห็นทั่วไปในปัจจุบัน 

๒ การดำรงอยู่แบบมนุษย์ทาส
จักรวาลออกแบบให้จิตระดับชั้นต่างๆ ต้องดำรงอยู่ในระบบที่แตกต่างกันเป็นชั้นๆ จนกว่าเราจะยกระดับจิตของเราให้สูงขึ้นได้ เราก็จะออกจากระบบเก่า เพื่อเข้าสู่ระบบใหม่ที่สูงขึ้น อาจเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า Matrix ก็ได้ เหมือนมนุษย์สร้างกรงให้สัตว์อยู่ ส่วนมนุษย์เองก็ต้องอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองของมนุษย์เช่นกัน ทั้งนี้ การดำรงอยู่แบบมนุษย์ทาส คือการดำรงอยู่ขั้นต่ำที่สุด คืออิฐก้อนแรก คือรากฐานของสังคม และเพื่อหลอกล่อให้มนุษย์ยอมเข้าสู่ระบบเมทริกซ์นี้ จึต้องมีการสร้างสิ่งล่อลวงใจหลายๆ อย่าง เช่น บ้าน, รถยนต์, มือถือ, กระเป๋าแบรนด์เนม ฯลฯ มนุษย์ทาสในปัจจุบันก็คือ เหล่ามนุษย์เงินเดือนที่มีเจ้านายสั่งใช้ นั่นเอง


การดำรงอยู่แบบมนุษย์ไพร่
มนุษย์ไพร่จะดำรงอยู่อย่างอิสระ ไม่มีเจ้านายมาคอยสั่งใช้ แต่พวกเขาอาจไม่ได้ครอบครองสิ่งของล่อใจมากมายเหมือนพวกมนุษย์เงินเดือน มนุษย์ไพร่จะอยู่อย่างเรียบง่าย สมถะมากกว่าพวกทาส พวกทาสจะหลงอยู่กับการเสพกิน บริโภค วัตถุสิ่งของ แต่พวกไพร่ไม่นิยมสิ่งเหล่านั้น เช่น ชาวนา ชาวไร่ต่างๆ พวกไพร่นี้จะไม่มีลูกน้อง จะทำงานด้วยตัวเอง พวกเขาจะไม่เข้าใจเรื่องการเมืองการปกครองมากนัก เพราะไม่ใช่พวกวรรณะกษัตริย์ มนุษย์ไพร่นี้เป็นตัวอย่างของการดำรงอยู่แบบ “มนุษย์ที่แท้จริง” เพราะมนุษย์ที่แท้จริง จะต้องมีความเป็นอิสระ ไม่เป็นทาส คนที่เป็นมนุษย์ทาสอาจเพราะพวกเขามีบาปที่ต้องชำระล้าง นั่นเอง

การดำรงอยู่แบบมนุษย์กษัตริย์
การดำรงอยู่แบบมนุษย์กษัตริย์เป็นการดำรงอยู่ที่เหนือกว่ามนุษย์ปกติ เพราะเป็นการจำลองการดำรงอยู่แบบ “เทพ” มานั่นเอง เพื่อหลอกล่อให้ผู้มีบุญบารมีอยากมาเป็นกษัตริย์ และเมื่อเสวยผลบุญในการเป็นกษัตริย์หมดแล้ว ก็อาจต้องเสื่อมลง อาจตกนรกก็ได้ ในปัจจุบัน การดำรงอยู่แบบกษัตริย์มิได้มีอยู่แต่ในกษัตริย์เท่านั้น แต่ได้แพร่หลายออกมาในหมู่ไพร่ที่ยกตัวขึ้นก่อตั้งบริษัท มีลูกน้องของตัวเองอีกด้วย ดังนั้น มนุษย์เราจึต้องมีสติ เจียมตัวเจียมตน เห็นช้างขี้อย่าไปขี้ตามช้าง เห็นเขามีอย่าไปอยากมีอย่างเขา เห็นเขาเป็น เราใช่จะเป็นอย่างเขาได้ เพราะหากเราเสวยผลบุญเกินตัว ชาติหน้าไม่เหลือบุญ อาจตกนรกก็ได้

การดำรงอยู่แบบมนุษย์พราหมณ์
การดำรงอยู่แบบมนุษย์พราหมณ์เป็นการดำรงอยู่แบบเตรียมพร้อมที่จะเป็นเทพ หรือคืนสู่เทวโลกในชาติภพหน้า ดังนั้น จึไม่เสพสุข ไม่หลงติดทางโลกมากเกินไปนัก การดำรงอยู่ค่อนข้างสมถะ แต่เน้นที่การทำจิตใจให้สูงขึ้นมากกว่า เพราะหากใจร้อนรีบเสวยผลบุญราวกับอยู่บนสวรรค์ในชาตินี้แล้ว ชาติหน้าก็มักจะไม่ได้รับ หรือบำเพ็ญไม่สำเร็จ ไม่ได้มรรคผลครับ นี่เองที่ทำให้วรรณะพราหมณ์สูงกว่ากษัตริย์ ในขณะที่วรรณะกษัตริย์เสพสุข เสวยผลบุญในชาตินี้เลย และมักจะไม่สำเร็จมรรคผล มักไม่ได้กลับคืนสู่สวรรค์ เมื่อละสังขารจากไป ทั้งนี้ พราหมณ์แม้จะสมถะแต่ต้องดำรงอยู่ไม่ต่ำกว่ามนุษย์ เพราะไม่ใช่เปรตอนาถาครับ

คนเรามีระดับชั้นของการดำรงอยู่ต่างกัน เราต้องมีสติไม่ลืมตัวเองครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?