จะใช้พลังจักรวาลได้อย่างไร?
ในบทความก่อนได้กล่าวถึงเรื่อง
“พลังจักรวาล” ที่ใช้เพื่อความร่ำรวยกันมาแล้ว ในบทความนี้จะอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องการใช้พลังจักรวาลว่าเราจะนำพลังจักรวาลมาใช้ได้อย่างไร?
เราจะไม่ต้องใช้แต่พลังของตัวเองแล้วต้องขัดแย้งกับจักรวาล
เหมือนเอาไม้ซีกมางัดไม้ซุงอีกต่อไป เมื่อเราใช้พลังจักรวาล ดังต่อไปนี้
๑ ความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
ในบทความก่อนได้กล่าวถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลมาบ้างแล้วแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าทำอย่างไร
หลักการง่ายๆ คือ เราและจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว
เพียงเราไม่ “แปลกแยกตัวเองออกมา” ก็เท่านั้น หลายคน “จิตใจอ่อนแอ” พวกเขาค่อยๆ
สร้างกำแพงขึ้นมาปกป้องตัวเอง
นานวันเข้าพวกเขาเริ่มแปลกแยก
ตัวเองออกจากสรรพสิ่งรอบตัวโดยที่พวกเขาก็ยังอยู่ร่วมกับคนทุกๆ คน คล้ายๆ พระปัจเจกโพธิยานไงครับ
คำว่าปัจเจกโพธิยานนี่ไม่เหมือนปัจเจกชนนะ คำว่า ปัจเจกชนหมายถึงคนในฐานะคนแบบเดี่ยวๆ
คนเดียว แต่คำว่าปัจเจกโพธิยานนี้ หมายถึงคนที่ชอบทำตัวแปลกแยกไม่เอาไหนอะไร
ไม่รับผิดชอบใครใดๆ อีกแล้ว
๒ การเปิดกว้างเปิดจักระรับพลัง
เมื่อเราทลายกำแพงใจของเราได้แล้ว
ขั้นต่อไปคือ การเปิดจักระรับพลังจักรวาล
แม้ว่าพลังจักรวาลจะมีอยู่ทั่วไป แต่หากครอบคลุมอยู่ภายนอกตัวเรา เข้าไม่ถึงจิตใจของเรา
การติดต่อสื่อสารของเรากับจักรวาลก็จะยาก จริงไหม? การเปิดจักระรับพลังจักรวาลจะเปิดจักระที่เจ็ดเป็นสำคัญ
เมื่อจักระที่เจ็ดบริเวณกระหม่อมของเราเปิดแล้ว
เราก็จะสามารถดำรงชีวิตโดยมีพลังจักรวาลเชื่อมเข้ามาผ่านจักระที่เปิดออกนี้
และเราจะสื่อสารกับจักรวาลได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องมานั่งเข้าทรงอะไรเหมือนคนทรงครับ
ที่สำคัญคือ เราไม่ใช่คนทรง ทั้งนี้ พลังจักรวาลมีหลายชนิดควรเลือกรับปรับจูนคลื่นที่เหมาะสมกับตัวเองจะดีกว่ารับหลายคลื่นครับ
๓ การจูนคลื่นความถี่ให้สอดคล้อง
ดังที่เคยได้กล่าวแล้วว่าจิตและจักรวาลต่างก็เป็นพลังงาน
หลายคนทราบดีกว่าพลังงานเดินทางในรูปคลื่นความถี่ ดังนั้น
พลังงานก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงที่เราได้ยิน
เสียงก็คือพลังงานไม่ต่างจากแสงและความร้อนฮะ คำถามคือ
จิตของเรากับจักรวาลจะจูนคลื่นความถี่ให้สอดคล้องกันได้อย่างไร?
ก็เหมือนการเล่นดนตรีไงละครับ เคยได้ยินวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นไหม?
เล่นให้มันมีความสอดคล้องกันก็อย่าง เล่นให้ขัดแย้งกันก็อีกอย่าง จริงไหมครับ?
เมื่อเข้าใจง่ายๆ ได้ว่าจิตกับพลังจักรวาลสอดคล้องกันได้เหมือนการเล่นดนตรี
ทีนี้ก็ไม่ยากแล้ว เราก็คิดว่าเราเป็นเหมือนเครื่องดนตรีที่ต้องเล่นร่วมวงกับจักรวาลให้สอดคล้องกันแค่นี้เอง
๔ การเคลื่อนไหลอย่างไม่ขัดแย้ง
“คล้อยตามไม่ขัดขืน” นี่คือ หลักของไทเก็ก
และนำมาใช้ได้ดีกับการใช้พลังจักรวาลครับ พลังของเราเหมือนหิ่งห้อย
ในขณะที่จักรวาลเหมือนทะเล ดังนั้น หากเราฝืนพลังธรรมชาติ ฝืนจักรวาล ผลจะเป็นอย่างไร?
เราก็จะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงเท่านั้นเอง นอกจากเหนื่อยเปล่าไม่เกิดผลแล้ว
เราเองก็อาจได้รับผลกระทบไปด้วย การคล้อยตามพลังจักรวาลย่อมดีกว่าการฝืนหรือขัดขืนแน่นอน
และหลายๆ คนที่รับพลังจักรวาลได้
จะพูดในสิ่งเดียวกันได้โดยไม่ได้อ่านหรือจำมาจากตำราเดียวกันเลย นี่คือ
หลักของการคล้อยตามไม่ขัดขืนไงละครับ เมื่อนั้นเราจะใช้ชีวิตได้อย่างง่ายๆ ชิลๆ
มากเลย เราจะไม่ต้องเหนื่อยกับการฝืนหรือต่อต้านอีกต่อไป
๕ ความมีเจตจำนงเสรีของจิต
แม้ว่าเราจะคล้อยตามจักรวาลแต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สามารถคิดหรือทำอะไรได้เองเลย
ตรงข้าม จักรวาลเปิดกว้างให้ “เจตจำนงเสรี” แก่เราเสมอ ให้เราเป็นตัวของตัวเอง, เป็นอิสระ,
เป็นทางเลือก, เป็นความเป็น ไปได้ใหม่ๆ เพราะหากเราเอาแต่ “ทำตามโดยไม่มีธรรมชาติของตัวเอง”
แล้วจักรวาลจะขยายออกไปได้เช่นไร? การที่จักรวาลขยายกว้างออกไปได้ ก็เพราะองค์ประกอบภายในของจักรวาลเคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ
มิใช่หรือ? ดังนั้น
จักรวาลย่อมให้เจตจำนงเสรีแก่เราเพื่อให้เราค้นหาและสร้างเส้นทางของเราเอง สร้าง
“ความเป็นไปได้ใหม่ๆ” ให้เกิดขึ้นในจักรวาล
เพื่อทำให้จักรวาลขยายตัวออกไปด้วยพลังจิตของเรา
ซึ่งขั้นแรกเราต้องเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลด้วยภาวะอนัตตาครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น