การพัฒนาจิตใจที่ผิดจุดเป็นไฉน?
“ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นประธาน”
การปฏิบัติธรรมจึงสำคัญที่ใจ
ทว่า ก็มิใช่ว่าจะต้องยึดติดใจ และไม่ใช่ไม่สนใจร่างกายเลยก็หาไม่ คิดแบบนั้น
แสดงว่าไม่เข้าใจความหมายของธรรมนี้นะครับ ในบทความนี้จะขออธิบายเพิ่มเรื่องการปฏิบัติธรรมที่ผิดจุดที่มักพบได้ทั่วไป
ทำให้ไม่ก้าวหน้า ไม่ได้มรรคผล ดังต่อไปนี้ครับ
๑ พัฒนาจิตวิญญาณแฝง
หลายท่านบำเพ็ญธรรมแล้วไม่ได้ผลอะไรเลยเพราะบำเพ็ญผิดจุดไปพัฒนา
“จิตวิญญาณแฝง” แทน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อน ในศาสนาพราหมณ์จะสอนเรื่อง
“อาตมัน” เพื่อให้เราแยกแยะได้ว่าอะไรที่ไม่ใช่เรา
อะไรที่แฝงรูปแฝงรอยมาอยู่กับเรา และเพื่อให้เราพัฒนาจิตใจของเราได้ตรงจุดจริงๆ
ทว่า หลายคนไม่มีพื้นฐานพราหมณ์มาก่อน คิดดูนะครับ พระสมณโคดมเป็นเลิศแค่ไหน?
สร้างบารมีมามากกว่าเราแค่ไหน? แต่ท่านก็ยังต้องไปปฏิบัติพราหมณ์เป็นพื้นฐานมาก่อน
เพราะอะไรครับ? เพราะการฝึกจิตนั้นมันไม่ใช่ของง่ายๆ เหมือนการฝึกกายหรือการเล่นกล้ามยังไงละครับ
(โอกาสที่จะผิดพลาดย่อมมีได้มากมาย)
๒ พัฒนาสมองและความคิด
อีกกรณีที่พบบ่อยๆ
คือหลายท่านปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ผลเพราะปฏิบัติผิดจุด ไม่ได้ปฏิบัติที่ “ใจ”
ไม่มีใจเป็นประธาน แต่เป็นการปฏิบัติที่มี “สมอง” เป็นศูนย์กลางแทน
เหมือนการเรียนในห้องเรียน สมองก็ได้รับการพัฒนาไปเรื่อยๆ ถูกใช้ไปเรื่อยๆ
แต่จิตใจ, จิตวิญญาณของเขาไม่ได้พัฒนาอะไรเลย เคยเห็นไหมครับ คนที่รู้ไปหมด
รู้เยอะแยะ แต่เถียงกันเอาชนะคะคานกันจะให้เป็นให้ตายกันให้ได้
ไม่มีวิสัยหรือจิตใจของผู้บำเพ็ญธรรมเลย เพราะคนพวกนี้พัฒนาแต่ “สมอง”
ของตนเท่านั้นครับ จิตใจและจิตวิญญาณของเขา ไม่มีการพัฒนาเลย คนพวกนี้เรียกว่าพวกนักปราชญ์ก็ได้
แต่ไม่ใช่นักปฏิบัติในพุทธศาสนาอย่างแน่นอนครับ
๓ พัฒนาจิตที่สูญหายไป
อีกกรณีที่พบได้คือ
การพัฒนาจิตวิญญาณของตนเองอย่างมาก แต่ไม่ได้พัฒนากายของตนด้วย
เหมือนคนที่สำเร็จจิตวิญญาณเป็นพระอรหันต์
แต่กายสังขารไม่ได้ครองธรรมวินัยของพระอรหันต์ ผลที่เกิดคือ มักจะมีการ
“สูญเสียจิตวิญญาณจากร่าง” ครับ จิตวิญญาณที่มีฤทธิ์มาก สามารถจรจากร่างได้ด้วยมโนมยิทธิ
จะจรจากไปเพราะไม่พอใจกับร่างสังขารที่ปฏิบัติต่างจากจิตวิญญาณนั้น เช่น
ถ้าจิตวิญญาณนั้นเป็นอรหันต์ แต่ร่างสังขารไม่ยอมบวช ยังทำงานเหมือนปุถุชนด้วยไม่ยึดติดอะไร
แบบนั้น จิตวิญญาณสามารถจนจากไปได้ด้วยความแตกต่างกันของกายและจิต นั่นเอง ดังนั้น
จะพูดว่าพระธรรมวินัยแค่สมมุติไม่สำคัญ ไม่ได้
๔ พัฒนากายแต่จิตไม่ไปไหน
อีกแบบคือ
คนที่ปฏิบัติแต่กาย กายทำอะไรดีๆ มากมายเลย แต่ไม่เข้าใจเคล็ดการปฏิบัติที่ใจ
ทำให้จิตของเขาไม่พัฒนาไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย นั่งสมาธิหลายสิบปีก็ยังเหมือนเดิม
จิตวิญญาณก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย บางคนปฏิบัติอย่างเคร่ง บางคนทรมานร่างกาย
บางคนเพียรอย่างหนัก ฯลฯ นี่ก็ผิดจุดเหมือนกัน ด้วยไปเน้นปฏิบัติที่กาย
ไม่ได้เน้นปฏิบัติที่ใจ ใจไม่ยอมเปลี่ยน
ใช้แต่ร่างกายขยับเปลี่ยนแปลงทุกวันเท่านั้นเอง ในศาสตร์โยคะนั้น
กล่าวไว้ชัดเจนว่าการฝึกแต่จิตอย่างเดียวหรือกายอย่างเดียวนั้น
ยังไม่ดีนัก ดังนั้น ต้องฝึกทั้งกายและจิต
“หลอมรวม” เข้าด้วยกัน คำว่าโยคะจึงมีความหมายว่าหลอมรวม
(กายและจิต)
นั่นเอง
๕ การปฏิบัติที่มีพื้นฐานอันถูกต้อง
หลายคนไม่มีพื้นฐาน ไม่เข้าใจว่าอาตมันคืออะไร?
การปฏิบัติโยคะคืออะไร? การหลอมรวมกายและจิตคืออะไร? คือ ไม่เคยปฏิบัติพื้นฐานมาก่อน
อยู่ๆ ลัดขั้นเอา “ว่าง” เลย ผลคือจิตวิญญาณในร่างมักจรออกหมด ข้างในว่างเปล่าหมดเลย
จากนั้น ปีศาจก็จะมาอยู่ในร่างนั้นแทน
แล้วมักครอบงำร่างนั้นให้หลงตนว่าตัวเองคือพระโพธิสัตว์ครับ จำไว้ให้ดีนะครับ
“พละห้า” คือ สิ่งสำคัญ หากพละห้าอ่อนด้อย การปฏิบัตินอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว
ยังเกิดผลเสียด้วย ดังที่กล่าวว่าบางคนสูญเสียจิตวิญญาณจากร่างเป็นต้น
พระพุทธเจ้านั้นจึงมี
“สมันตจักษุ” ใช้มองดูอินทรีย์ห้าของสัตว์ว่าเข้มแข็งพอที่จะรับธรรมจากท่านหรือไม่?
ก่อนยังไงละครับ
การปฏิบัติที่ได้ผล
จะต้องมาจากพื้นฐานที่ถูกต้องให้ได้ก่อนครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น