ธรรมะแบบปฐมภูมิ




ผู้มีปัญญานั้นจะต้องมีธรรมในตน กล่าวธรรมจากตนได้โดยไม่ต้องลอกใครมา ดังนั้น การกล่าวธรรมนั้นจึเป็นการกล่าวครั้งแรกเสมอ เรียกว่า “ปฐมภูมิ” ส่วนผู้ไม่มีปัญญาแท้จริง จะคอยแต่ลอกคนอื่น เอาแนวคิดของคนอื่นมาใช้ ดังนั้น ย่อมไม่อาจกล่าวอะไรที่เป็นปฐมภูมิได้ ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ

๑ ไม่ใช่การนำเอามากล่าวตรงข้าม
บางคนไม่ได้ตรัสรู้ธรรมจริง ไม่มีธรรมปฐมภูมิจากภายในตัวเองจริงแต่ใช้หลักการ “ตรงข้าม” แทน กล่าวคือ หากเขาบอกขวา เราก็จะกล่าวว่าซ้าย หากเขาบอกชาย เราก็จะกล่าวว่าหญิง ฯลฯ เป็นต้น คนแบบนี้ไม่ได้มีธรรม ไม่ได้มีแม้แต่ความเป็นตัวของตัวเองครับ เพราะ “อิงอาศัยคนอื่น” ตลอดเวลา อิงอาศัยอย่างไร? คือ อาศัยว่าเขาพูดอะไร เราก็จะไปทางตรงข้าม นั่นเอง การทำให้เป็น “ตรงข้าม” เสีย จะหลอกคนอื่นได้ว่าเราไม่ได้ก็อปของเขามา ทำให้ดูเหมือนว่าธรรมะของเราใหม่ คิดได้เอง ทั้งที่จริงก็อิงกับคนอื่นตลอด เพียงแต่ใช้หลักทำให้เป็นตรงข้ามเสีย เท่านั้นเอง อันนี้อันตรายนะ ธรรมเขาถูกต้อง เราไปสอนให้คนไปผิดทางไงละฮะ 

ไม่ใช่การนำเอามาเรียบเรียงใหม่
การเอาธรรมะของคนอื่นหลายๆ คน มาผสมกันแล้ว “เรียบเรียงใหม่” ให้ดูแปลกใหม่เหมือนเป็นของเราเองก็จะหลอกคนทั่วไปได้ว่าเราคิดเอง เราตรัสรู้เอง เราค้นพบเอง ทั้งที่จริงเราไม่ได้ตรัสรู้แจ้งจริงอะไรสักอย่างเลย เราแค่ไปเอาของใครมาเยอะๆ ผสมๆ กันแล้วเรียบเรียงใหม่เท่านั้นเอง ทว่า หลายคนดูไม่ออก โง่เขลาก็จะหลงเชื่อเขาได้ง่ายๆ ว่าเขาช่างมีปัญญามากดีแท้ เพราะเก็บเกี่ยวความรู้ของคนอื่นมารวมกันได้มากมายนั่นเอง การเรียบเรียงไม่ใช่การตรัสรู้อะไรเลย ไม่ใช่การบรรลุธรรมอะไรด้วย เป็นแค่หลักการรวบรวมความรู้ที่ใครๆ ก็สามารถทำกันได้และไม่เกี่ยวกับว่าเราจะได้หลุดพ้นไหมด้วย ทว่า หลายคนก็ใช้วิธีนี้หลอกคนครับ

๓ ไม่ใช่การนำเอามาดัดแปลงใหม่
เมื่อบุคคลบรรลุธรรม รู้แจ้งได้ด้วยตนเอง จะมีธรรมภายในตน ออกมาเองจากข้างในเป็น “ปฐมภูมิ” ไม่ได้ลอกใครมา ไม่ได้เอามาจากที่อื่นไหนทั้งนั้น ทว่า คนที่ไม่ได้มีธรรมจริง ไม่มีธรรมในตน ไม่มีปัญญาแจ้งจริง จะหลอกคนด้วยการ “เอาธรรมมาดัดแปลง” ทำให้ดูเหมือนไม่ใช่การลอกใครมา เหมือนเป็นของใหม่ ทว่า มันคือ การดัดแปลงโดยใช้การอิงกับงานของคนอื่น ธรรมของคนอื่นครับ เช่น ถ้าพระสมณโคดมสอนว่าเราคือพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายไม่อาจเป็นอย่างเราได้ในตอนนี้ จะได้แค่อรหันตผลเท่านั้น ก็ดัดแปลงใหม่ว่าทุกคนคือพุทธะอยู่แล้ว เหมือนกันหมด หมาแมวก็เป็นพุทธะด้วย เพราะจิตคือพุทธะอยู่แล้ว แบบนี้ก็มีครับ

๔ ไม่ใช่การจำรูปแบบของใครมา
การไม่บรรลุธรรมด้วยตน ไม่ตื่นแจ้งด้วยตนเองอีกแบบคือ “การจำรูปแบบธรรมะของคนอื่นมาใช้” เช่น ครูสอนว่าอะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น ก็จำมา มันจำง่ายดี เหมือนคำโฆษณาสั้นๆ เก๋ๆ แล้วเอาไปพล่ามพ่นใส่คนนั้นคนนี้ เหมือนว่าตัวเองเป็นศาสดามาเผยแพร่สัจธรรมเองยังงั้น ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ตรัสรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองเลย แต่พูดราวกับว่ารู้มา เห็นมาด้วยตัวเองอย่างนั้น อันนี้ไม่ใช่ธรรมแท้นะ ไม่ใช่ธรรมปฐมภูมิ เป็นแค่การไปจำเอารูปแบบธรรมะของเขามาใช้เท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้คนแบบนี้มีเยอะ ไปนั่งฟังธรรมะ ไม่ได้จะขัดเกลาจิตตัวเองจริงๆ แต่จ้องจะเอา จ้องจะจำ พอได้แล้วเอาไปอวด เอาไปโชว์ พล่ามใส่คนนั้นคนนี้ให้เขายอมตัวเอง

๕ ลักษณะของธรรมะแบบปฐมภูมิ
ลักษณะจะไม่เหมือนกันเลยครับ แต่กลับเป็นสัจธรรมเดียวกัน แปลกไหม? พระอรหันต์แต่ละองค์ไม่ได้พูดคำเดียวกันครับ พูดตามธรรมชาติของตัวเอง ไม่ได้ลอกกันด้วย แต่ก็แสดงสัจธรรมเดียวกันได้ ที่เป็นแบบนี้เพราะแต่ละท่านล้วนเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้ลอกกันมา พูดออกมาจากใจ ธรรมแต่ละท่านล้วนเป็นปฐมภูมิทั้งสิ้น และพระอรหันต์ด้วยกันท่านจะดูกันออกเพราะเหตุนี้ด้วยครับ คือ เห็นคนๆ นั้นพูดอะไรอิสระจากในตัวเอง ไม่เหมือนใคร ไม่ลอกใคร แต่กลับมีสัจธรรมเดียวกันได้ อันนี้แหละที่ทำให้ท่านมั่นใจว่าได้บรรลุธรรม ที่ไม่เหมือนกันเลยเพราะเป็น “ธรรมปฐมภูมิ” นั่นเอง และที่เป็นสัจธรรมเดียวกันเพราะบรรลุธรรมเดียวกัน

ผู้มีธรรมจอมปลอมแต่ทำเหมือนฉลาด สมัยนี้มีอยู่เต็มไปหมดครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?