ภูมิปัญญาแห่ง “มนุษย์และศิลปะ”
ในบทความก่อนๆ
ได้กล่าวถึงโลกและระบบแล้วว่าเป็นดั่งกรงขังสัตว์
ทว่า มนุษย์มิใช่สัตว์ที่ถูกขังกรงอยู่ไปวันๆ เช่นนั้น มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีสมอง,
มีมือ, มีเท้า ฯลฯ เพื่อให้ทำภารกิจต่างๆ ที่ควรจะทำ ไม่ใช่ให้มาเป็นพระอิฐพระปูน
นั่งนิ่งให้คนกราบเหมือนซอมบี้อะไรเช่นนั้น ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ
๑ มนุษย์มีเจตจำนงเสรีในการกระทำ
มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีอิสรเสรีในการกระทำและไม่กระทำใดๆ
เพราะความเป็นมนุษย์นั้นจะแสดงตัวและบ่งบอกมนุษย์เองว่าสิ่งใดที่ควรทำและไม่ควรทำ
การกระทำสิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งที่มนุษย์เขาไม่ทำกัน ย่อมไม่อาจรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้
ดังนั้น ในความเป็นมนุษย์เองนั้นหละ
ที่คอยกระตุ้นเตือนมนุษย์เองว่าสิ่งใดควรและไม่ควรทำอย่างไร? มนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์จึงได้รับ
“เจตจำนงเสรี” เต็มที่ คือ
ความสามารถที่จะทำหรือไม่ทำอะไรได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีใครมาสั่ง ทว่า
ต่อมามนุษย์ได้หลงผิดทำให้พระเจ้าลงโทษ มนุษย์ก็ขาดอิสระและต้องกลายเป็นทาส
ไม่มีเจตจำนงเสรีอีก จะต้องถูกสั่งใช้ให้ทำหรือไม่ทำอะไรเรื่อยไป
๒ มนุษย์แค่สวมหัวโขนแสดงบทบาท
แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นไม่ได้เป็นอะไรอย่างอื่นเลยนอกเสียจาก
“มนุษย์” แต่การที่มนุษย์ต้องเป็นคุณหมอ, ครู, ตำรวจ, นักการเมือง, พ่อค้า,
พระราชา ฯลฯ นั้นก็เป็นเพียงแค่ “การสวมหัวโขน” แสดงบทบาทไปตามแต่ละสถานการณ์
ความเป็นมนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ
เรียนรู้ได้ทุกอย่างสิ่งใดที่เทพทำได้มนุษย์ก็เรียนรู้และทำได้อย่างเทพแต่ไม่เหมือนเทพ
เพราะเทพสามารถทำงานได้อย่างดีมีมาตรฐานสูงแต่มนุษย์อาจทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
ไม่ค่อยมีมาตรฐานอย่างนั้น มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรกล ย่อมมีการกระทำที่ดีไม่ดีบ้าง,
รั่วบ้าง, ขาดตกบกพร่องบ้าง, ขาดๆ เกินๆ บ้าง ฯลฯ ทว่า
มนุษย์ก็พร้อมเสมอที่จะสวมหัวโขนทุกหัวโขนแสดงบทบาทไป
๓ มนุษย์ที่แสดงได้ดีก็เรียกว่ามีศิลปะ
เป็นความคิดที่ผิดที่จะ
“แยกมนุษย์ออกจากโลก” โลกและมนุษย์ย่อมอยู่ด้วยกันเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัวแต่ไม่จมในใบบัวนั้น
มนุษย์มีสองแบบคือแบบที่จมกับโลกกับแบบที่ไม่จมกับโลก แบบหลังนี้มีน้อยมาก
แต่ถ้าจะให้มนุษย์แยกขาดจากโลกนั้น ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น บ้างคิดว่ามนุษย์ต้องปรับตัวตามโลกอย่างเดียว
นั่นก็ไม่ถูกต้อง มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับโลก
และมีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์
ทว่า หากมนุษย์คิดเปลี่ยนแปลงโลกมากเกินไป
มนุษย์จะฝืนธรรมชาติและอาจจะถูกธรรมชาติทำลายได้ ดังนั้น มนุษย์จะต้องหา
“ความพอดี” ในการกระทำต่อโลกที่เรียกว่า “ศิลปะ” นั่นเอง
๔ มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศิลปะ
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์คือมนุษย์มีศิลปะ
ศิลปะทำให้มนุษย์ไม่ได้อยู่เหมือนสัตว์ที่หวังเพียงแค่กิน, ขี้, ปี้, นอน ฯลฯ ไปวันๆ
เท่านั้น แต่การดำรงชีวิตของมนุษย์มีอะไรมากกว่านั้น เช่น มนุษย์ไม่ได้กินแค่ให้อิ่มแต่กินเพื่อสุนทรียภาพด้วย
การได้กินอาหารอร่อยที่มิได้เน้นแต่สารอาหารบ่งชี้ว่ามนุษย์มีศิลปะในชีวิต
มนุษย์มีความเข้าใจในโลกว่าเป็นเหมือนโรงละคร มายาการ มนุษย์ก็ปรับตัวเข้ากับโลกด้วยการใช้ศิลปะในการทำกิจกรรมต่างๆ
การสวมหัวโขน แสดงบทบาทต่างๆ เพื่อดำรงอยู่ในโลก มนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่าง เป็นได้ทุกอย่าง
แต่ทั้งหมดไม่ใช่ตัวกูของกู ทั้งหมดเป็นแค่การสวมบทบาทสมมุติเท่านั้นเอง
นี่เรียกว่า “ศิลปะ”
๕ ศิลปะคือเครื่องยกระดับจิตมนุษย์
มนุษย์ไม่อาจยกระดับสูงขึ้นได้เลย
หากขาดซึ่งศิลปะ
ศิลปะทำให้มนุษย์มีรสนิยมสูงขึ้น
ทำให้แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ศิลปะเป็นเครื่องพัฒนาและยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์
และมีผลโดยตรงต่อจิตใจของมนุษย์ ต่างจากการพูด, อธิบายธรรมะ แบบตรงไปตรงมา ซื่อๆ
ทื่อๆ แบบเป็นเหตุเป็นผล แต่ไม่กระทบต่อจิตใจของมนุษย์เลย ก็ไม่อาจทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน
ไม่อาจเกิดคลื่นความถี่ระดับสูงที่จะยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้นได้ ศิลปะมิใช่แก่นแท้ของสัจธรรม
แต่เป็นเช่นเปลือกที่ห่อหุ้มและนำพาสัจธรรมเข้าสู่จิตของมนุษย์ การใช้เปลือกอื่นๆ
นำสัจธรรมเข้าสู่จิตของมนุษย์นั้นอาจไม่ได้ผลเลยหรือมีผลต่อจิตใจน้อยมาก
การใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะทำให้เราเป็นมนุษย์
ไม่ใช่พระอิฐพระปูนครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น