ภูมิปัญญาแห่ง “พลังแห่งสัมพัทธภาพ”




ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวถึงการเลื่อนระดับและการหลุดพ้นเอาไว้ ทว่า หากสัตว์ทั้งหมดหลุดพ้นพร้อมกัน โลกก็จะต้องวิบัติแน่นอนเพราะไม่เหลือสัตว์ใดประจำที่ดูแลโลกเลย ดังนั้น เพื่อให้จักรวาลคงดุลยภาพไว้ได้ ก็ต้องมี “พลังแห่งการยึดโยง” ที่ผูกมัดสัตว์ที่ยังไม่ถึงวาระจะหลุดพ้นไว้ในคอกในกรง ดังจะอธิบายต่อไปนี้

สัตว์ทั้งหลายมีวาระในการหลุดพ้น
ดังที่กล่าวแล้วว่าถ้าสัตว์ทั้งหมดหลุดพ้นจากโลกพร้อมกัน โลกจะวิบัติเพราะไม่มีสัตว์ใดดูแลโลกเลย ดังนั้น จึต้องมี “ลำดับคิวในการหลุดพ้นและการตรัสรู้” เหมือนพระพุทธเจ้าหลายๆ องค์ ก็มีลำดับคิวในการตรัสรู้ สัตว์ทั้งหลายก็มีลำดับคิวในการหลุดพ้นเช่นกัน หากยังไม่ใช่วาระ สัตว์นั้นก็จะไม่หลุดพ้น ทำอย่างไรก็ช่วยไม่ได้ครับ โดยจักรวาลจะมีระบบดูแลลำดับคิวในการตรัสรู้และการหลุดพ้นนั้นอย่างดีไม่ให้มีสิ่งผิดพลาดได้ ทีนี้ ทำอย่างไรจึจะให้สัตว์ไม่แย่งกันไปสู่ความหลุดพ้นละ? คำตอบคือต้องมี “เครื่องหลอกล่อ” และมีกรรมยึดโยงสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ ไม่ให้หลุดพ้นก่อนเวลาได้ ทั้งหมดนี้ ผู้เขียนขอเรียกว่า “พลังสัมพัทธภาพ” ครับ

๒ กรรมคือเครื่องผูกมัดยึดโยงสัตว์ไว้
พลังงานกรรมจะช่วยพัวพันผูกมัดสัตว์เอาไว้ ไม่ให้หลุดพ้นก่อนวาระได้ หากสัตว์ทั้งหลายไม่มีกรรมต่อกันเลย ก็จะหลุดพ้นไปแบบพระปัจเจกฯ คือ ตัวใครตัวมัน กระจัดกระจายไป ไม่มีระบบ ไม่มีสังคม ทว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้น ธรรมชาติจึสร้างให้มีกรรมผูกมัดกันไว้ นั่นเอง นี่เป็นเรื่องธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดานะ การที่สัตว์กินกันเป็นทอดๆ ก็คือ กระบวนการสร้างสัมพัทธภาพอย่างหนึ่ง สรุปง่ายๆ คือ สัตว์เดรัจฉาน เมื่อถูกคนกินแล้ว ก็จะมีพลังงานกรรมเป็นเครื่องผูกมัดไว้กับมนุษย์ ทำให้สัตว์นั้นๆ เกี่ยวข้องกับมนุษย์ได้ ทีนี้ สัตว์เดรัจฉานมีกรรมมาก มีบุญน้อย จึต้องเป็นฝ่ายสละ ถูกมนุษย์ทำกรรมด้วยการฆ่ากิน เข้าใจไหม?

๓ อย่าสุดโต่งชนิดไม่ให้มีกรรมเลย
คนบางคนไม่เข้าใจว่ากรรมคือธรรมะ ธรรมดา ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตรงข้ามกับคิดว่ากรรมเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ดี เลวร้าย เมื่อใจไม่เป็นกลาง มองเห็นกรรมเป็นลบ ก็ไม่เห็นธรรมะ ธรรมชาติในกรรม ไม่รู้ว่ากรรมมีหน้าที่ในตัวมันเอง เมื่อสำคัญผิดในกรรม ไม่มีใจเป็นกลางเช่นนี้แล้วก็ปฏิบัติสุดโต่ง ชนิดที่ไม่ให้ตนมีกรรมเสียเลย ก็เลยไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ ทำตัวเหมือนผู้วิเศษ ให้คนอื่นทำกรรมมาเลี้ยงดูตัวเองก็มี ทำตัวเหมือนพระอิฐพระปูน นั่งแข็งทื่อไม่ยอมทำกรรมอะไรเลยก็มี แบบนี้แหละ เรียกว่าสุดโต่ง อีกแบบคือ ขาดสติ ทำกรรมไปด้วยความหลงผิด คิดเอาเองว่าไม่มีกรรม เพราะใจรับความผิดบาปในกรรมไม่ได้ ก็หลงทำกรรมมากเกินไป 

๔ กลไกลแห่งพลังสัมพัทธภาพเป็นไฉน?
ยกตัวอย่างเช่นนาย ก. ฆ่า นาย ข. ตายมาก่อน ชาติต่อมาเขาก็จับนาย ข. ให้มาเป็นลูกนาย ก. เพื่อให้นาย ก. ได้ชดใช้หนี้กรรมต่อนาย ข. นี่เรียกว่า “พลังแห่งสัมพัทธภาพ” ที่สร้างความสัมพันธ์ของมนุษย์ให้เกิดเป็นพ่อลูกกัน อันเกิดมาจากกรรมเป็นเครื่องผูกโยง หลายครอบครัว ไม่ค่อยมีความสุข ไม่ค่อยดีต่อกัน พ่อแม่ลูก บางทีก็ทะเลาะกัน นั่นเพราะอดีตชาติเคยทำกรรมต่อกันมาก่อน นั่นเอง แรกๆ จะรักกันมาก เพราะต้องหลอกล่อให้คนเหล่านี้ยอมรับกรรม ชดใช้กรรมต่อกัน เลยสร้างภาพว่าทุกอย่างดีเหลือเกินครับ แต่พอเข้าสู่ระบบการชำระบาปแล้ว ทุกคนก็ต้องชดใช้กรรมต่อกัน ดังนั้น ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดาครับ

๕ ใช้พลังสัมพัทธภาพให้เกิดประโยชน์อย่างไร?
เราทราบแล้วว่าเพื่อไม่ให้สัตว์หลุดพ้นก่อนวาระ ธรรมชาติเลยสร้างพลังเชื่อมโยงมาผูกมัดสัตว์ไว้ด้วยกันที่เรียกว่า “พลังสัมพัทธภาพ” ต่อไป เราจะมาเรียนรู้กันว่าจะใช้พลังสัมพัทธภาพนี้อย่างไร? เพราะพลังงานนี้มีอยู่จริงๆ ครับ และถ้าเราเรียนรู้และใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ก็จะดีมากๆ เลย เช่น ถ้า นาย ก. มารักเรา แต่เราไม่ได้รัก นาย ก. เพราะอดีตชาตินาย ก. อาจทำผิดต่อเรามาก่อน เราจะทำยังไงครับ? เราก็อาจให้นาย ก. มาช่วยงานเราก็ได้ แต่เราไม่จำเป็นต้องฝืนใจแต่งงานกับนาย ก. ครับ การไม่ยอมมีกรรมเลย การแก้กรรมแบบไม่เข้าใจและการอโหสิกรรมแบบผิดๆ ทำให้สูญเสียพลังสัมพัทธภาพนี้ได้ ทำให้เราขาดจากคนอื่นครับ

กรรมก็มีหน้าที่ของมัน อย่าสุดโต่งปฏิเสธกรรมมากไปครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?