พาหะนำพลังชีวิต
หลายคนชอบพล่ามอวดโชว์ธรรมะ
วันๆ เอาแต่ทะเลาะถกเถียงกันเรื่องธรรมะ ทว่า เมื่อสังเกตุดูจะพบว่าคนเหล่านี้ช่างไม่ต่างอะไรกับชาวโลกที่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย
มิได้มีลักษณะหรือพลังงานแบบผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง เพราะอะไร?
เพราะเขาไม่มีพลังชีวิตที่ดีครับ ในบทความนี้จะขออธิบายต่อ ดังต่อไปนี้
๑ พลังชีวิตคืออะไร?
“พลังชีวิต” ในที่นี้หมายรวมพลังงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตหรือมาจากสิ่งมีชีวิต
อันตาเปล่ามองไม่เห็น
คลื่นพลังงานมีหลายความถี่และพลังงานหลายชนิดละเอียดเกินกว่าจะมองเห็นได้
ทั้งยังไม่มีความเย็นหรือร้อนอีกด้วย
พลังชีวิตมีในสิ่งมีชีวิตและเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะเราทั้งหลายอย่างมาก
หลายคนอาจไม่ทราบว่าการกระทำของพวกเขานั้น “ไม่ใช่ของเขาเอง” ไม่ใช่อัตตา
ตัวกูของกู หลายคนเหมือนหุ่นที่ถูกเชิด ถูกพลังชีวิตขับดันพัดพาไปดั่งว่าวสายขาดที่ลอยไปตามกระแสลม
แล้วแต่ว่ากระแสคนส่วนใหญ่หรือพลังงานส่วนใหญ่จะไหลไปทางไหน ดังนั้น
การทำความเข้าใจเรื่องพลังชีวิต ย่อมเป็นผลดีต่อท่านมาก
๒ พาหะนำพลังงาน
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นพาหะนำพลังชีวิตได้ทั้งนั้นแต่ความสามารถในการนำพลังงานนั้นไม่เหมือนกัน
เช่นไม้กับเหล็กนำพลังงานได้ไม่เท่ากัน พาหะนำพลังชีวิตที่ดีที่สุดก็คือ
“สิ่งมีชีวิต” เหมือนโลหะย่อมนำพลังงานความร้อนได้ดีกว่าสิ่งอื่นนั่นแหละ
พลังงานกับพาหะนำพลังงานก็จะมีคู่ของมัน คนบางคนอยากได้พลังงานที่มีฤทธิ์เดช ก็ไปเสาะแสวงหา
“วัตถุมงคล” เพราะวัตถุมงคลนำพลังชีวิตได้ หารู้ไม่ว่าวัตถุธาตุเหล่านั้น เป็นพาหนะที่นำพลังชีวิตได้ไม่ดีเท่ามนุษย์
เพราะอะไร เพราะมนุษย์คือสิ่งมีชีวิต ดังนั้น ตัวเราเองนี่แหละที่เป็น
“วัตถุมงคลชั้นเลิศ” ก็ได้ หรือจะเป็นวัตถุที่นำพลังงานอัปมงคลมาก็ได้
อยู่ที่ตัวเราเองจะปฏิบัติตัวอย่างไร?
๓ พลังงานสองวิถี
ตามหลักของพราหมณ์ฮินดูแล้วพลังงานมีสองวิถีใหญ่ๆ
คือ วิถีแห่งความเจริญ และวิถีแห่งความเสื่อม ซึ่งพราหมณ์จะต้องแยกแยะให้ได้เป็นเบื้องต้น
เช่น ธรรมะ, ศาสนา นำความเจริญมาให้ แต่ไสยศาสตร์มนต์ดำนำความเสื่อมมาให้ ดังนั้น
พราหมณ์จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์ชั้นต่ำ เทพกับอสูรอยู่ร่วมกันไม่ได้
พระนารายณ์เป็นเทพ ลงมาปราบยักษ์อสูร เราต้องเลือกอยู่ฝ่ายพระนารายณ์ไม่ใช่ฝ่ายยักษ์อสูรแต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เที่ยง
ยักษ์อสูรก็ไม่เที่ยง การตายจากยักษ์อสูรย่อมเป็นเรื่องธรรมดา,
เทพก็ไม่เที่ยงการจุติออกมาจากเทพมาเป็นมนุษย์ก็เป็นเรื่องธรรมดา
พลังงานทั้งสองแบบนี้ ผู้ฝึกจิตควรแยกแยะให้ได้เป็นเบื้องต้นครับ
๔ การสังเกตุแยกแยะเบื้องต้น
อย่าเพิ่งหลงว่าไม่ยึดอะไรแล้วแม้แต่พลังงาน
เพราะคุณจะหลงตัวเอง หลงว่าคิดได้แล้ว เก่งแล้ว แต่ทำจริงนั้น
“พื้นฐานกลับไม่ผ่าน” ยังไม่ได้เลย ในบทความนี้ จะปูพื้นฐานให้คุณก่อน ดังนั้น
จะกล่าวเรื่องพลังงานที่มีสองวิถีเพื่อให้คุณเข้าใจและระวังพลังงานที่นำความเสื่อมมาให้
บางท่านจะสอนเราว่าพลังงานมีพลังที่ดีและไม่ดี คือ พลังบวกและพลังลบ ง่ายๆ
แบบนี้ก็มี ถามว่าจะแยกแยะได้อย่างไร? คำตอบคือ มีวิธีสังเกตุดังนี้ครับ พลังงานที่ดีจะต้องนำความเจริญทางด้านจิตใจมาสู่คุณได้
ยกระดับจิตใจให้คุณสูงขึ้นได้ ส่วนพลังที่ไม่ดีนั้นจะทำให้คุณเสื่อมลง
มีแต่ความเสื่อม ทว่า มันจะหลอกล่อคุณให้หลงด้วยสิ่งดีๆ มากมาย
๕ พลังชีวิตและความหลุดพ้น
สุดท้ายแล้วหลายท่านอาจถามว่าเราจะเรียนรู้เรื่องพลังงานเหล่านี้ไปทำไม
ทำไมไม่ปล่อยวางทุกอย่างไปเลยละ? คำตอบคือ พูดมันง่ายครับ ไม่เอาอะไรแล้ว ปล่อยวางทุกอย่างแล้ว
“แต่ทำจริง ไม่ได้” ปล่อยวาง แต่ถ้าถูกยึดบ้าน ยึดรถละ? ได้ไหม? ก็ไม่ได้
ตกทุกข์แน่นอน เอาละ อย่าเพิ่งเว่อร์กับธรรมะขั้นสูงต่างๆ จนปฏิบัติขั้นพื้นฐานไม่ได้จริง
ในบทความนี้จะปูพื้นฐานเพื่อไปสู่ความหลุดพ้นในท้ายที่สุด
และคุณควรทราบว่าเรื่องของพลังชีวิตนั้นมีผลต่อการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นอย่างยิ่ง
กล่าวคือ แม้คุณจะรู้ทุกอย่างก็ดี พูดธรรมะขั้นสูงได้ว่าไม่เอาอะไรแล้วก็ดี
แต่หากมาตกม้าตาย ยังถูกพลังงานที่ไม่ดีครอบงำอยู่ก็จบเห่ครับ
ปฏิบัติให้ได้จริงก่อนแม้จะเป็นพื้นฐานก็ช่าง
อย่าหลงกับธรรมขั้นสูง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น