ทำไมคนสมัยนี้โปรดยาก?
หลายครั้งเราพบว่ามีคนมากมายทำตัวเหมือน
“ผู้มีธรรม” เกลื่อนเต็มไปหมดในโลกอินเตอร์เน็ต ทว่า
เขาเหล่านี้มิได้สำเร็จมรรคผลอะไรจริงเลย วันๆ อาศัยวาทกรรม ด่าทอกัน
เอาชนะคะคานกัน แล้วอ้างว่าสอนธรรมะคนอื่นเพื่อระบายความเครียดบ้าง
ลดปมด้อยบ้างทำให้โปรดยาก ดังจะอธิบายในบทความต่อไปนี้
๑ เพราะไม่รู้ตัวเองว่าเป็นอะไร?
หากคนเรารู้ได้ว่าจิตวิญญาณในกายของตนนั้นเป็นอะไร?
มีตาทิพย์มองเห็นได้เอง เขาอาจจะไม่หลงตัวเอง เช่น
เห็นว่าตัวเองยังไม่พ้นจากความเป็นสัตว์ชั้นต่ำเลย
เพียงแต่ใช้สมองในการอ่านและฟังธรรมะมามากก็เท่านั้น
เมื่อไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นเช่นนี้ ก็จะหลงคิดว่าตนนั้นรู้ธรรมะแล้ว
เป็นผู้มีธรรมแล้ว หรืออาจเผลอคิดไปเองว่าตนได้อริยบุคคลแล้ว เช่นนี้
พระสมณโคดมเลยสอนเรื่อง “สติปัฏฐานสี่” โดยเฉพาะกายานุสติปัฏฐานให้พิจารณา
“กายในกาย” อยู่เนืองๆ เพื่ออะไร? เพื่อให้เราดูตัวเองว่าเราเองเป็นอะไรอยู่?
สำเร็จธรรมแล้วจริงหรือยัง? เพราะคนที่สำเร็จธรรมจะมีรัศมีธรรมออกมาที่ศีรษะได้
(แต่ก็มีคนที่ไม่สำเร็จแต่มีเช่นกัน)
๒ เพราะคิดว่าตัวเองรู้มากแล้ว
สมัยนี้การศึกษาเจริญดี
ผู้คนทั้งหลายสามารถหาอ่านและฟังธรรมะได้ทั่วไป
เมื่ออ่านและฟังมากเข้าก็คิดไปเองว่าตนเองมีธรรมแล้ว ยิ่งรู้มากยิ่งสอนยาก
แทนที่พวกเขาอ่านและฟังธรรมะแล้วจะได้สติว่า “เออ ที่เราอ่านอยู่นี้ เราไม่อาจตรัสรู้เองได้เลยหนอ
หากไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ไว้ เราคงไม่อาจคิดได้อย่างนี้?” นี่
แทนที่จะมีสติได้อย่างนี้ ตรงข้าม กลับเผลอคิดไปว่าเรารู้แล้ว คือ
แค่อ่านรู้เรื่อง, เข้าใจ ไม่ใช่การตรัสรู้เองนะครับ คนที่ยังไม่เคยตรัสรู้เอง
อย่าเผลอคิดไปเองว่าการอ่านและฟังธรรมะรู้เรื่องคือตรัสรู้เองแล้ว มันไม่ใช่ คำว่า
“ปริยัติ” นั้น หมายความว่า “ที่สุดของความรู้ความเข้าใจในธรรมะ” ไม่มีอะไร
สุญตานั่นต่างหากครับ
๓ เพราะคิดว่าตัวเองปฏิบัติแล้ว
ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่า
“ปฏิบัติในทางธรรม” คืออะไร? ในทางธรรมนั้นมีคำว่า ปริยัติ, ปฏิบัติ, ปฏิเวธ ทว่า
หลายคนก็หลงทางคิดว่าตัวเองได้สิ่งเหล่านี้แล้วโดยการเอาความคิดทางโลกมาใช้ เช่น
การปฏิบัติแบบทางโลกๆ แล้วคิดว่านี่คือการปฏิบัติแล้วในทางธรรม เช่น
การตั้งใจเดินจงกลม, ทำสมาธิ ฯลฯ การปฏิบัติในทางธรรมนั้นไม่เหมือนทางโลก
ทางโลกนั้นเขา “ทำอะไรเพื่อให้ได้อะไร” ใช่ไหม? แต่ในทางธรรม
ไม่ทำอะไรเพื่อให้ได้อะไรอย่างนั้น ยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งไม่ทำกรรมอะไรครับ นี่คือ
“ปฏิบัติในทางธรรม” ส่วนปฏิบัติในทางโลกนั้นก็คือยิ่งปฏิบัติยิ่งก่อกรรมเพิ่มครับ
การปฏิบัติเพื่อเอานั้น “ใช้ไม่ได้” การจะปฏิบัติธรรมได้เลยต้องมีอุบายครับ
๔ ยังมีบุญไม่เคยโดนหนักๆ
คนเราไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
เมื่อยังไม่ตาย ไม่กลายเป็นผีเร่ร่อน
ลำบากไปทั่วก็ไม่รู้ว่ามันยากแค่ไหนในการดำรงอยู่ในสามภพนี้
เพราะยังมีบุญเสวยดีอยู่ หลงบุญ หลงตัวเองอยู่ กินบุญเก่าได้อยู่ บ้านอาจจะรวย
มีงานทำดี มีเงินใช้ดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราหลงเพลิน
หลงตัวเองว่าตัวเองมีบุญบารมีเอาตัวรอดแล้ว ทั้งที่จริงเมื่อตายไปอาจไม่ใช่
อาจตรงข้ามเลยก็ได้ เมื่อยังไม่เคยโดนหนักๆ ลืมไปว่าตอนไม่ใช่มนุษย์อยู่นั้น
ตนต้องเจออะไรบ้าง? ยากลำบากขนาดไหนบ้าง? คิดว่าได้เป็นมนุษย์ก็รอดแล้ว
ไม่ใช่นะครับ มนุษย์นั้นได้โอกาสปฏิบัติธรรม แก้ตัวใหม่
แค่ไม่เกินร้อยปีเท่านั้นเอง เราก็ตายกันแล้ว สิ่งที่เราได้นี้ ยังไม่แน่นอนครับ
๕ เหมือนหมาไม่เคยขึ้นเครื่องบิน
คนไม่เคยรวยไม่รู้ว่าคนรวยเขาเป็นกันอย่างไร? คนไม่เคยบินได้ไม่รู้ว่าการบินได้ง่ายแค่ไหน?
ก็จะไม่รู้ว่าคนที่มีบุญบารมี มีบารมีธรรมนำทางสรรพสัตว์ได้เป็นอย่างไร
เขาอาจเป็นคนธรรมดามีจิตใจ มีอารมณ์เหมือนเราๆ ท่านๆ
นี่ละไม่จำเป็นต้องดูน่าศรัทธาเหมือนพระพุทธรูปปูนปั้นหรอก
เมื่อคนเราไม่เคยเห็นอะไรที่สูงส่งเช่นนั้น ก็จะ
“ตีค่าคนอื่นจากสิ่งที่ตัวเองเป็น” เช่น
คิดว่าเขาคงต้องทำงานหาเงินเหมือนเราทุกวัน
คิดว่าเขาก็ต้องอ่านตำราเหมือนเราจะได้รู้มากได้อย่างนั้น ฯลฯ คนเราไม่เหมือนกัน
เปลือกนอกเป็นคนเหมือนกัน แต่จิตวิญญาณข้างในไม่เหมือนกัน
เมื่อไม่เคยรู้เคยเห็นผู้มีบุญบารมีมากก็จะไม่เชื่อ ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมถูกสอน
เหตุนี้ พระสมณโคดมจึงว่าจะสอนเราเหมือนช่างปั้นทุบหม้อไงครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น