พละห้าที่คนมักเข้าใจผิด



พละห้าได้แก่ ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ และปัญญา ทั้งห้าประการนี้หลายท่านปฏิบัติแล้วยังไม่ได้ผลเลย แต่หลงคิดว่าได้แล้วมีแล้ว สุดท้าย ปฏิบัติธรรมนานเท่าใดก็ไร้มรรคผล เพราะเอาความเข้าใจแบบทางโลกมาใช้กัน ถามว่าเข้าใจผิดอย่างไร?  ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องความเข้าใจผิดในพละห้า ดังต่อไปนี้

ศรัทธากับความงมงาย
หลายคนคิดว่าตนเองมีความศรัทธาแล้วทว่าแท้จริงพวกเขาแค่ “งมงาย” ครับ พวกเขาแยกไม่ออกระหว่างความศรัทธาและความงมงาย คนเรานั้นหากเชื่ออะไรที่น่าศรัทธามันก็คือความงมงาย แต่ถ้ากล้าเชื่ออะไรที่ไม่น่าศรัทธา ไม่น่าเชื่อได้เลย แบบนั้นจะเรียกว่า “ศรัทธาจริงๆ” เหมือนคุณไว้ใจใครสักคนจริงๆ ทั้งที่เขาไม่มีอะไรน่าเชื่อถือเลย แต่คุณก็เชื่อใจเขา แบบนี้เชื่อใจกันจริงๆ ใช่ไหม? ตรงข้าม ถ้าคุณเชื่อใครสักคน เพียงเพราะเขาดูน่าเชื่อถือ แบบนั้นไม่ใช่ความศรัทธาแน่นอน มันเป็นแค่ความสับเพร่า ขี้เกียจใช้ความศรัทธา ก็เลยเชื่อไปแบบลวกๆ โดยดูเอาเปลือกนอก ดูว่าเออมันน่าเชื่อถือดี มันน่าศรัทธาดี อันนี้เรียกว่า “งมงาย”

๒ วิริยะกับการเพียรจม
หลายคนคิดว่าการเพียรจมคือ “วิริยะในทางธรรม” ไม่ใช่นะครับ วิริยะในทางธรรมนั้นไม่ใช่การเพียรจมดั่งคนทางโลกเป็นกัน ถ้าคนทางโลกเพียรจมกันถูกต้องแล้ว จะต้องมีพระพุทธเจ้ามาสอนอีกทำไม? ไม่ใช่นะ อย่าเอาความคิดทางโลกมาใช้กับทางธรรม มันคนละอย่างกัน ความวิริยะในทางธรรมนั้นอาจเหมือนคนที่ขี้เกียจมากๆ ในทางโลกก็ได้ เช่น วันๆ ไม่ทำอะไรเลย ถามว่าแล้วมันวิริยะตรงไหน? อ้าว ก็เพียรในการถือศีล ไม่ทำกรรมอะไรไงคุณ คนอื่นขาดความเพียรในการละเว้นจากการก่อกรรมแต่เรามีความเพียรในการละเว้นการก่อกรรม เห็นไหม ทางโลกกับทางธรรมมันสวนทางกัน มันมองต่างมุมกัน หลายคนจึเพียรจมแบบผิดๆ

๓ สติกับการเข้าไปรับรู้
หลายคนแยกไม่ออกระหว่างสติกับการเข้าไปรับรู้ การเข้าไปรับรู้นั้นเป็นกระบวนการทั่วไปที่ปุถุชนก็มีกันได้ด้วยกระบวนการของ “รูปนาม” นั่นเอง การมีสตินั้น “รูปนาม” ต้องดับก่อน ไม่มีรูป ไม่มีนาม มันมีแต่ความตื่นแจ้งของจิต สว่างโพล่งออกมาเอง ไม่ใช่ว่าจิตไปรับรู้อะไร จิตไม่ได้ไปรับรู้อะไรทั้งนั้น เหมือนเราตื่นตัวมาเอง เราไม่ได้เข้าไปรับรู้อะไรเลย หลายคนชอบไป “กำหนดรู้ให้เป็นสติ” เช่น ไปกำหนดรู้ลมหายใจ พอรู้ลมก็บอกว่ามีสติแล้ว นี่ไม่ใช่นะ นี่คือกระบวนการรับรู้ตามปกติให้ผลเป็น “รูปกับนาม” เท่านั้นเองยังมิใช่การตื่นรู้ของจิต การมีสติจริงๆ นั้นเหมือนเราสะดุ้งตื่นตกใจ แต่ถามว่าเรารู้อะไรก็ไม่ใช่รู้อะไร เราแค่ตื่นด้วยสติครับ

สมาธิกับการกดข่ม
หลายคนใช้การกดข่มใจแล้วคิดว่าตนทำสมาธิ อันนี้ไม่ใช่สัมมาสมาธินะ มันไม่ใช่ทางสายกลาง เป็นการทำที่มากเกินไป กดข่มมากไป ไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนหินทับหญ้า คำว่า “พรหมจรรย์” นั้น หมายความว่าใจเราใสบริสุทธิ์ดุจเด็กทารกนี่คือ “พรหมจรรย์” ไม่ใช่ว่าให้เราไปควบคุมว่าจะไม่มีกามแต่ใจกลับมืดดำ อย่างนั้นก็ไม่จบพรหมจรรย์สักที ทีนี้ พอใจใสแล้ว พรหมจรรย์จบสมบูรณ์แล้ว การทำสมาธิก็จะมีได้แบบใสนี่ละ เป็นพื้นฐาน คำว่าใสไม่ใช่ขาวบริสุทธิ์นะ อันนี้ต้องเข้าใจและแยกแยะให้ออกด้วย ขาวคือความขุ่น ไม่ใช่ใส สมาธิที่หลายคนทำเรียกว่า “ขาวแต่ไม่ใส” คุณเข้าใจไหม? ทำใจใสๆ เป็นธรรมชาติ ได้ไหม? ไม่ต้องกดข่ม

๕ ปัญญากับความรู้
“คนมีปัญญาอาจเป็นคนโง่ที่ไม่มีความรู้อะไรเลยก็ได้” เหมือนหลวงพ่อคูณ เป็นคนบ้านนอก บ้านป่า ซื่อใส ไม่รู้อะไรกับเขาหรอก แต่ก็ไม่ใช่คนโง่หลงงมงาย ตรงข้าม “จิตกลับตื่นแจ้งสว่างไสวด้วยปัญญา” เข้าใจมั้ย โง่ไม่มีความรู้แต่จิตตื่นแจ้งสว่างไสวด้วยปัญญา เรียกว่าคนมีปัญญาได้ แต่หลายคนไม่เข้าใจตรงนี้ เลยไปทำที่ “สมอง” คนที่ทำที่จิต ใช้จิตใช้ใจได้นั้น เรียกว่า “ภาวนา” เป็น คนที่ยังไม่ได้ภาวนา ภาวนาไม่เป็นนั้น จะยังติดชินใช้สมองเรื่อยไป แก้ไม่ได้ ผลออกมาคือ “ความคิดเก่ง, ความรู้ดี” แต่นั่นไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง ปัญญาที่แท้จริงจะต้องเป็นความตื่นแจ้งสว่างไสวของจิต ไม่ใช่มาจากสมองคิดเก่ง เข้าใจดี รู้อะไรเยอะ

ทั้งห้าประการนี้ หากมีครูช่วยแก้ไขให้ท่านก็จะก้าวหน้าได้ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?