รู้แต่ไม่รอดเป็นอย่างไร?




ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ “เอาแต่รู้ธรรมะ” เพราะการรู้ธรรมะนั้นไม่ยากเลย แค่อ่าน แค่ฟังมากๆ ก็รู้ได้แล้ว  ทว่า “การจะหลุดพ้นได้ไม่ใช่แค่รู้” ส่งผลให้หลายคนรู้แล้วกลับไม่รอด ยิ่งรู้ยิ่งไม่รอด ยิ่งรู้ยิ่งผูกมัดตัวให้เป็นผีเฝ้าตำราบ้าง เฝ้าศาสนาบ้าง ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมรู้แล้วไม่รอด? ดังต่อไปนี้

ไม่มีบุญบารมีจะรอด?
ความรู้กับบุญบารมีเป็นคนละสิ่งกัน สมมุตินาย ก. อ่านทุกอย่างในโลก รู้ธรรมะหมดเลย แต่เขาไม่มีบุญละ ใช้บุญหมดละ ชาติหน้าต้องไปเกิดเป็นเวตาลละ ถามว่าความรู้ช่วย นาย ก. ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะความรู้นี้ไม่ใช่บุญบารมีอะไรเลย ความรู้ก็คือความรู้ นาย ก. ตายไปก็ต้องไปเสวยผลบุญตามที่ตนมีตนได้ สมมุติอีก นาย ข. โง่และไม่รู้อะไรเลย ไปเจอ นาย ค. ผู้มีบุญบารมีมาก เพราะความโง่ นาย ข. เชื่อนาย ค. เพราะคำที่สอนแค่คำเดียว ไม่ได้อวดโชว์ความรู้อะไรมากเลย  ผลเป็นไงครับ? นาย ข. ตายแล้วไปอยู่ในวิมานเดียวกับ นาย ค. ตนไม่มีวิมานแต่เพราะศรัทธา นาย ค. เลยได้ไปเกิดในวิมานของเขา ไม่ต้องเป็นเวตาลแบบนาย ก.

๒ ไม่ได้ชำระกรรมให้หมด
คนมีความรู้ท่วมหัว ล้นฟ้ามากมาย แต่หากชำระกรรมไม่หมด ถามว่าจะรอดไหมครับ ไม่รอด ก็ต้องไปตามกรรมที่ยังชำระไม่หมดนั้น หลายคนถูกหลอกให้มี “ชีวิตที่ดี” ก็เลยประมาท คิดว่าเราคือผู้สำเร็จธรรมแล้ว ก็เลยไม่มีใครมาทำอะไรเราได้ โธ่คุณครับ “พระโมคคัลลานะยังยอมให้คนทุบตายเพื่อจะได้ใช้กรรมให้หมด” คุณดูดีไม่มีกรรม ไม่ได้แปลว่าเป็นอรหันต์อะไรเลย คุณแค่ถูกหลอกให้หลงเพลินกับการเสวยผลบุญ จนลืมที่จะชำระกรรมให้ตัวเอง เหมือนคนที่มีหนี้เยอะแล้วเขายังไม่มาทวง คุณก็ใช้เงินเพลินไปสิ พอตายแล้ว เขาก็มาทวงทั้งต้นทั้งดอก ทีนี้ หมดโอกาสที่จะเป็นมนุษย์แล้วชดใช้กรรมแบบมนุษย์ละ นี่แหละที่ไม่หลุดพ้น

ไม่ได้พัฒนาจิตอะไรเลย
จิตไม่ใช่ความรู้, ความรู้ไม่ใช่จิต แต่จิตเป็นตัวไปรู้ในความรู้ทั้งหลายได้ เมื่อเราหลงว่าเรารู้ แต่ลืมพัฒนาจิต จิตของเราก็ไม่พัฒนาไปไหน เสื่อมต่ำกว่าเดิมก็มี ทว่าสุดท้ายแล้ว “จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป” ครับ ความรู้และสัญญาขันธ์ ความจำได้หมายรู้ทั้งหลายไม่ช่วยอะไร มีแต่จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป ขันธ์ทั้งห้าไม่มาด้วย คนที่มีแต่ความรู้แต่ไม่มีการพัฒนาจิต จะเป็นอย่างไรครับ? ผลคือ ตกสู่ภพภูมิชั้นต่ำไงครับ เหมือนเวตาลไง มีความรู้เยอะมากพวกเวตาลน่ะ รู้ธรรมะไปหมดเลย แต่จิตวิญญาณจริงๆ ก็คือเวตาลไม่ใช่เทพ ไม่ใช่ผู้ที่จะหลุดพ้นได้ หลายคนมีความรู้ทางธรรมเยอะ แต่ไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ช่วยพัฒนาจิตใจครับ

๔ ไม่มีเจ้าสวรรค์คนไหนจะเอา
อุปมาง่ายๆ เหมือนคนที่รู้มากรู้ไปหมด แต่พอไปสมัครงานเขาไม่รับ ไม่เอา เป็นไปได้ไหมครับ มีเยอะใช่มั้ย แต่เขาไม่บอกคุณหรอกว่าทำไมไม่เอาคุณทั้งๆ ที่คุณรู้มาก รู้เยอะไปหมด การหลุดพ้นได้ไปสวรรค์ชั้นใดก็เช่นกัน เจ้าสวรรค์ท่านอาจไม่เอาคุณ ไม่รับคุณก็ได้ การที่เราต้องมาทำงาน ต้องสมัครงาน นั่นก็เพื่อสอนให้เรารู้ว่า “เราต้องทำตัวให้ดี ให้เขาอยากเอาเรา” ไม่ใช่หลงตัวเองว่าฉันรู้มากมายแล้วใครๆ ก็ต้องเอาตัวฉัน? ไม่ใช่นะ การที่จะทำให้เจ้าสวรรค์เอาคุณ คุณต้องทำตัวอย่างไรครับ? เช่น ละสักกายทิฐิไหม? ลดความหลงตัวเองลงไหม? ใช่ไหมครับ? แต่ไอ้ความรู้นี่ ยิ่งมีมาก มันยิ่งไปเพิ่มความหลงตัวเอง คนเขาก็ยิ่งไม่เอาครับ

๕ ไม่ใช่ความรู้แจ้งเห็นจริงอะไรเลย
ความรู้กับการตื่นแจ้ง ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เมื่อคุณตื่นแจ้งโลก หลุดพ้นโลกแล้ว มีปัญญาสว่างไสวแล้ว คุณก็อาจไม่ได้รู้อะไรเลย เพราะมันไม่ใช่การไปรู้อะไรสักอย่าง มันเป็นแค่การตื่นแจ้ง ส่วนคนที่ชอบไปรู้ ไปเก็บ ไปจำ ไปทำความเข้าใจจนได้ความรู้อะไรกลับมามากมายนั้น อันนี้ไม่ใช่ความตื่นแจ้งอะไรนะ จิตที่ยังไม่ตื่นแจ้งก็ยังไม่ตื่นแจ้งดังเดิม ดังนั้น ธรรมชาติเลยสร้างให้พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้บนโลกเพื่อฉุดช่วยสัตว์ทั้งหลาย บางคนพออ่านอะไรมาเยอะมากๆ เข้าก็จะหลงตัวเอง ตั้งตัวเองเป็นใหญ่ละ คุณรู้จักโลกนี้ดีพอแค่ไหน? แค่ไปประเทศที่คุณไม่รู้จัก คุณยังต้องถามคนนั้นคนนี้มากมายเลย นับประสาอะไรกับการเดินทางในปรโลก?

การเป็นผู้รู้ บางครั้งก็แค่ “ถม” ปมในใจที่ลึกดังก้นเหวเท่านั้นเอง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?