พระอรหันต์ตายแล้วไหน?




“นิพพานไม่ใช่ความว่างเปล่า ตายแล้วไม่สูญ” ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายไว้มากแล้ว ในบทความนี้จะเล่าต่อว่าพระอรหันต์หากตายแล้วไม่สูญเช่นนั้น “ตายแล้วไปไหน?” ผู้เขียนได้รวบรวมจากประสบการณ์จริงในชีวิตที่ได้ปฏิบัติพบผ่านมาด้วยตนเองเกี่ยวกับพระอรหันต์จำนวนมากมาย ดังจะอธิบายในบทความต่อไปนี้

พระอรหันต์จะอยู่ไหนก็ได้?
ผู้เขียนได้รับรู้เรื่องราวผ่านเพื่อนที่ปฏิบัติด้วยกัน เพื่อนที่มีหูทิพย์ตาทิพย์ หลายท่าน สะสมประสบการณ์ก็ได้นำมาเล่า เรียบเรียงให้อนุชนคนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป คือ หลวงปู่เทพโลกอุดร ได้มาหาผู้เขียนด้วยกายทิพย์ ครั้งแรกที่พบพระอรหันต์ที่ตายแล้ว แต่ผู้เขียนสนใจมหายาน สนใจโพธิยาน ท่านเลยจากไป ต่อมาก็ได้พบพระอรหันต์สมัยพุทธกาลบางองค์ เช่น พระสีวลี, พระอนุรุทธ ฯลฯ ท่านเหล่านี้อยู่ในป่าลี้ลับ และคอยดูแลพุทธศาสนาอยู่ ครั้งเมื่อวัดธรรมกายมีเรื่อง พระอนุรุทธก็ได้มาที่วัดนั้น ผู้เขียนก็ถอดกายทิพย์ไปคุยกับท่าน เทพบนสวรรค์ท่านบอกว่า “พระอรหันต์จะอยู่ไหนก็ได้” นั่นคือ ท่านไม่ได้ผิดหรือหลงที่อยู่ในป่ากันครับ

๒ พระอรหันต์อยู่ไหนบ้าง?
มีกลุ่มใหญ่อยู่ในป่าบนภาคพื้นโลกเพื่อดูแลพุทธศาสนาต่อ, มีอีกกลุ่มอยู่บนสวรรค์ เช่น หลวงพ่อฤษีลิงดำ ตอนที่พบเจอ ท่านกำลังเดินจงกลมอย่างช้ามากๆ ผู้เขียนเลยไม่ได้สนทนากับท่าน เกรงจะรบกวน แต่พออนุมานได้ว่าท่านกำลังบอกให้เรา “เดินช้าๆ” อาจเพราะคนอื่นเดินไม่ทันก็ได้, มีอีกกลุ่มอยู่กลางจักรวาลคือ เป็นจิตวิญญาณที่ล่องลอยไปมาอิสระอยู่ในจักรวาลเลย ไม่มีวิมานอยู่ เพราะไม่ได้ทำบุญอะไรให้ได้วิมานบนสวรรค์กันครับ (ไม่เหมือนหลวงพ่อฤษีลิงดำที่ท่านทำบุญสร้างบารมีด้วย) นี่คือ พระอรหันต์ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสพบเจอทางมิติทิพย์ สรุปสั้นๆ ได้ว่าท่านอยู่ไหนก็ได้ครับ และที่สำคัญ “ท่านไม่ได้อยู่ด้วยกันทั้งหมด”

พระอรหันต์ที่อยู่อย่างแพแตก
ไม่ต่างอะไรกับชาดกเรื่อง “พระมหาชนก” ที่เรือของพระมหาชนก ล่มกลางทะเล จากนั้น ก็ต่างคนต่างไป ไม่ได้อยู่ร่วมกันบนเรือ ไม่ได้อยู่เป็นหมู่คณะร่วมกันเลย สิ่งที่ผู้เขียนได้รับรู้มานั้น อาจขัดใจ ขัดความเชื่อ ความรู้สึกของท่านทั้งหลาย “ที่มักคิดเอาเองว่าทุกอย่างล้วนสมบูรณ์แบบ” เหมือนในตำราไตรปิฎก ทว่า ในประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้รับรู้มานั้น “ความจริงมิใช่เช่นนั้น” พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่กันอย่างคนแพแตก กระจัดกระจายกันไป ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ มิได้อยู่ร่วมกันในพุทธเกษตร อันมีพระพุทธเจ้าปกครองอยู่แต่อย่างใดเลย และเพราะเหตุนี้กระมังที่จะต้องให้พระศรีอาร์ฯ มาช่วยค้ำพระศาสนาที่เหมือนแพแตกนี้

๔ ไม่ยึดติดที่อยู่แบบโง่ๆ
ความไม่ยึดติดที่อยู่แบบผู้มีปัญญานั้นแตกต่างจากคนที่ไม่ยึดติดแบบโง่ๆ แน่นอน กล่าวคือ ผู้มีปัญญาจะอยู่ที่ไหนก็ได้ดุจ “น้ำกลิ้งบนใบบัว” เพราะไม่ยึดติดและไม่โง่ ส่วนผู้ไม่ยึดติดแบบโง่ๆ นั้น จะไม่มีที่อยู่ ดังหยดน้ำที่กระเซ็นซ่านไป มิใช่หยดน้ำบนใบบัว เก็จนะครับ ผู้มีปัญญาอยู่เหมือนหยดน้ำบนใบบัว มีใบบัวให้อยู่อาศัย แต่ผู้ไม่มีปัญญาสักแต่ว่าไม่ยึดติด จะไม่มีที่อยู่ และจะมีสภาพเหมือนหยดน้ำที่กระเซ็นซ่านไปทั่ว ไม่มีใบบัวรองรับ อันดอกบัวจะบานได้ต้องมีใบก่อน ฉันใดก็ฉันนั้น ดอกบัวของพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่จะมีได้ จะต้องมีธรรมเสมือนใบบัวรองรับก่อน จะใจร้อนรีบแย่งชิงตัดหน้าพระศรีอาร์ฯ จนบารมีไม่เต็ม ก็คงไม่ได้

๕ ผู้มีปัญญาย่อมรู้ว่าจะอยู่ไหน?
ดังที่กล่าวแล้วว่าผู้มีปัญญาจะอยู่เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว มีใบบัวรองรับแต่ไม่ติดใบบัว หรือก็คือ มีภพภูมิมีสวรรค์รองรับแต่ไม่ติดในสวรรค์ และผู้มีปัญญาที่แท้จริงจะต้องรู้ว่าตนควรจะอยู่ไหน? จริงไหมครับ ไม่ใช่ยังไม่รู้เลยว่าตนควรจะอยู่ไหน เพราะอะไร? อนาคตก็ไม่รู้เหมือนกัน มั่วไป, ดำน้ำไป แล้วบอกว่าเรามี ปัญญา อันนี้คงไม่ใช่แล้วนะครับ เพราะคนโง่ทั่วๆ ไปก็เป็นแบบนี้ได้ไม่ต้องปฏิบัติธรรมอะไร แบบคนหลงทางไม่รู้ว่าตนจะไปทางไหน ผู้มีปัญญาย่อมไม่ใช่เช่นนี้เด็ดขาด เช่น หากมีปัญญาขั้นอนาคามี ย่อมควรรู้ว่าตนจะเกิดที่ไหนในชาติภพหน้าเพื่อจะได้อรหันตผลในชาติภพหน้านั้น โดยสามารถชำระกรรมและทำกิจที่คั่งค้างได้

“รู้แจ้ง เห็นจริง” ไม่ใช่ไม่รู้อะไรจริง สักแต่บอกว่า “ไม่ยึด” ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?