อาจิณกรรมจากอาชีพต่างๆ



“สัมมาอาชีวะไม่ใช่อาชีพทางโลก” หลายท่านเข้าใจผิดเพราะอาศัยคำแปลสัมมาอาชีวะแปลว่าอาชีพชอบ ไม่ใช่นะครับ สัมมาอาชีวะเป็นธรรมในมรรคแปดจะมีได้จากการปฏิบัติธรรมแล้วได้มรรคผลเท่านั้น หากยังหลงอยู่ทางโลกจะยังไม่มีมรรคแปด ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องอาจิณกรรมจากอาชีพ ดังต่อไปนี้

๑ อาจิณกรรมจากอาชีพ
อาชีพทางโลกก่อให้เกิดกรรมซ้ำๆ ที่ทำเป็นอาจิณเรียกว่า “อาจิณกรรม” กรรมตัวนี้สะสมมากเข้าทำให้ไม่อาจที่จะหลุดพ้นได้ ดังนั้น “ทุกอาชีพในทางโลกย่อมไม่ใช่สัมมาอาชีวะ” ทว่า หากสอนแบบนี้ตรงๆ คนก็จะไม่อยากทำงาน ไม่อยากมีอาชีพ ประเทศก็จะแย่ ใช่ไหมครับ? ดังนั้น คำสอนที่แท้จริงก็เลยถูกบิดเบือนว่าสัมมาอาชีวะคืออาชีพสุจริตไป เพื่อให้คนทั้งหลายยอมมีอาชีพปกติ ไม่ออกจากการทำงานต่างๆ ไปบวช นั่นเอง ทั้งนี้แม้ว่าการไม่มีอาชีพทางโลก เข้ามาบวช ปฏิบัติธรรมจะเป็นทางหลุดพ้นได้ ทว่า ไม่ใช่ทุกคนจะได้มาบวช เพราะหากทุกคนทำเช่นนั้น โลกก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีใครทำงาน ท่านไม่ได้สอนให้ทำเช่นนั้น
                                                                                                                    
๒ การมีสัมมาอาชีวะเพื่อลดกรรม
ดังที่กล่าวแล้วว่าทุกอาชีพทางโลกไม่พ้นมีกรรมสะสมเป็นอาจิณ ก่ออาจิณกรรมขวางทางหลุดพ้นได้ทั้งสิ้น ดังนั้น มีแต่สัมมาอาชีวะเท่านั้น มีแต่อาชีพทางธรรม มิใช่อาชีพทางโลกเท่านั้นที่จะทำให้เราหลุดพ้นได้ เกิดคำถามว่าแล้วสัมมาอาชีวะลดกรรมอย่างไร? ก็ต้องย้อนกลับไปดู “สัมมากัมมันตะ” หรือการกระทำชอบก่อน สัมมากัมมันตะหรือการกระทำชอบคือ การกระทำที่หลุดพ้นเป็นอิสระไม่มีเงื่อนไขเป็นการกระทำแบบเสรี เช่น การเดินบิณฑบาตรไปอย่างเสรี ไม่มีเงื่อนไข ใครจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ ช่างเขา เมื่อทำจนเราอยู่ตัวได้แล้ว อยู่กับทางโลกได้แล้ว การกระทำนั้นก็เรียกว่า “สัมมาอาชีวะ” เช่น พระที่บิณฑบาตรจนอยู่รอดได้เอง

สัมมาอาชีวะที่ไม่ใช่การบิณฑบาตร
สัมมาอาชีวะเป็นคำกว้าง ไม่ได้แปลว่าต้องบิณฑบาตรเท่านั้น แต่การกระทำใดก็แล้วแต่ทำให้เราอยู่รอดได้ในโลกนี้ “โดยชอบ” คือ พอดี, พอควร เป็นทางสายกลาง มิใช่สุดโต่ง มิได้มีเงื่อนไขว่าจะต้องทำแล้วได้เงิน นี่คือสัมมาอาชีวะ ดังนั้น ย่อมไม่ได้หมายความแค่การบิณฑบาตรเท่านั้น แต่สามารถยกการบิณฑบาตรมาเป็นตัวอย่างได้ เพื่อเป็นแบบอย่างให้คนเห็นด้วยการทำให้เกิดจริง เห็นจริง แสดงให้มนุษย์ทั้งหลายเห็นว่าการเป็นมนุษย์นั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการจ้างงาน การมีอาชีพใด มนุษย์สามารถอยู่ในโลกนี้ได้อย่างอิสระจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น ศิลปินแสดงโชว์ข้างทางไม่ได้ขอเงินใคร แต่อยู่รอดได้ นี่ก็สัมมาอาชีวะ

ทำอย่างไรจะมีสัมมาอาชีวะ
ก็ต้องมีสติ ต้องมี “สัมมาทิฐิ” ก่อนเลย อันดับแรก สัมมาทิฐิเป็นความเห็นชอบตรงทางว่าอาชีพทั้งหลายนั้นล้วนก่อกรรมเป็นอาจิณไม่อาจทำให้หลุดพ้นได้ เราต้องละ เลิก การทำกรรมเพื่อให้ได้ลาภสักการะเหล่านั้น แล้วเริ่มต้นใหม่มีสัมมาอาชีวะให้ได้ ผู้ปฏิบัติก็ต้องเชื่อต้องศรัทธาในเรื่องบุญกรรมอย่างเต็มเปี่ยมเพราะถ้าไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาแล้วก็จะคิดว่าไม่ทำงานแล้วมันจะอยู่รอดได้อย่างไร? ไม่หาเงินแล้วจะอยู่ได้อย่างไร? นี่คือ การไม่เชื่อในเรื่องบุญกรรมครับ หากคุณเชื่อเรื่องบุญกรรมแล้ว คุณจะกล้าที่จะอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่ทำงานอะไร เพราะเชื่อว่าคุณมีบุญมีกรรมพอที่จะทำให้อยู่ในโลกนี้ได้ครับ นี่คือ จุดเริ่มต้นที่จะมีสัมมาอาชีวะครับ

๕ อาจิณกรรมจากอาชีพจะแก้ไขอย่างไร
สุดท้ายนี้ มีคำถามว่าแล้วอาจิณกรรมจากการทำอาชีพทางโลกนั้น เราจะแก้ไขอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น คนขายหมู จะต้องฆ่าหมูทุกๆ วัน เขาไม่ได้ขโมยหมูใคร อาชีพขายหมูคืออาชีพสุจริตตามกฎหมายทางโลก จริงไหมครับ? ทว่า ถามว่ามันคือสัมมาอาชีวะไหม? ก็ไม่ใช่ มันมีกรรมเยอะเลย บางคนก่อนตายจะร้องเช่นหมูที่ถูกเชือดทีเดียว นี่คืออาจิณกรรมให้ผล การแก้กรรมจากอาจิณกรรมก็จำต้องรับวิบากกรรมนั่นเองครับ เดี๋ยวจะคิดว่าแบบนี้ก็ทำงานทำอาชีพทางโลกอะไรไม่ได้เลย ทำได้แต่จะต้องรับวิบากกรรมก่อนตายเท่านั้น เช่น นายกบางคนถูกเล่นงานทางการเมือง ถูกปลดถูกไล่ออกจากประเทศ การยอมรับกรรมก็จะช่วยได้ครับ 

ผู้มีอาชีพทุกคนจะต้องผ่านการรับวิบากกรรม ชำระบาปก่อนทุกคนครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?