เจอธรรมะแล้วสติหลุดทันที?
“ธรรมานุสติปัฎฐาน” เป็นสติขั้นสูงที่หลายท่านยังไม่มี
ทว่า เมื่อยังไม่มีกลับรีบร้อนรับธรรม, ฟังธรรม, อ่านธรรม ฯลฯ ผลคือ
“ขาดสติทันทีเมื่อได้พบธรรม” เพราะไม่มีธรรมานุสติปัฎฐาน ถามว่าการได้พบธรรมไม่ดีหรือ?
ดีครับแต่ต้องดูอินทรีย์ด้วยว่าพร้อมไหม? สติแก่กล้าพอไหม? ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องนี้
ดังนี้
๑ คิดว่าธรรมะนี้เรารู้ได้เอง
เมื่อท่านพบธรรมแล้ว
“เข้าใจ” ทันใดนั้นท่านก็เผลอคิดว่า “ท่านรู้แล้ว” นี่ละ “ขาดสติ” มันขาดสติตรงไหน?
ก็ตรงที่คิดว่าตนรู้แล้วนี่ละ มันจะทำให้คุณหลงตัวเองว่ากูรู้ กูคือผู้รู้
กูรู้แล้ว ต่อมา คุณจะเกิดอาการบ้ารู้ ว่าตัวเองเก่ง รู้ธรรมะมาก
และเที่ยวไปพล่ามธรรมะใส่คนนั้นคนนี้ เอาชนะคะคานกัน นี่ละ อาการของคนขาดสติ
คนที่มีสติจริงๆ เมื่อพบธรรมะ เขาจะไม่คิดว่าฉันรู้แล้ว แต่เขาจะคิดว่า “โอ้
เราหนอยังไม่อาจตรัสรู้เองได้ในธรรมนี้เลย ใครหนอผู้ตรัสรู้ในธรรมนี้ได้
ช่างน่าศรัทธาแท้” คนมีสติจริงเขาจะคิดแบบนี้ครับ เขาจะพบตัวโง่
รู้ตัวว่าตัวเองโง่ ที่ไม่ได้ตรัสรู้ได้อย่างนี้ แล้วเขาจะเกิดศรัทธาในพระพุทธเจ้า
ไม่เกิดความหลงตัวเองครับ
๒ คิดว่านี่ถูกต้อง,
นั่นผิด
เมื่อท่านพบธรรมแล้ว
“เข้าใจ” ท่านก็จะคว้าเอา “สิ่งที่ถูก” ไว้ แล้วตัด “สิ่งที่ผิด” ออกไป
เหมือนครั้งที่ท่านยังเรียนอยู่ในระบบ ท่านถูกสอนให้เลือกตัวเลือกที่ถูกต้อง
แล้วตัดตัวเลือกที่ผิดออกไป ท่านยัง “หลงเพลิน” อยู่ในอดีตนั้น
ท่านก็เอาพฤติกรรมในอดีตนั้นมาใช้กับการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม ผลต่อมาคือ
ท่านมักจะชอบไปไล่จับผิดคนอื่น ทะเลาะ เอาชนะคะคานกับคนอื่นที่เห็นว่า
“เขาไม่ถูกต้อง” เพราะท่าน “สำคัญมั่นหมาย”
ปรุงแต่งใส่สิ่งที่ท่านได้รับรู้มาว่านั่นถูก, นี่ผิด นั่นเอง เมื่อขาดสติแล้ว
ก็เตลิดเปิดเปิงไป บางคนหลงทางไปยาวไกล ไปนานมาก แถมไม่มีใครให้สติ ฉุดรั้งให้หยุด
ให้กลับมาได้ด้วย บางคนไปไกลขั้นสร้างสำนักเลย
๓ คิดว่าธรรมนี้ของกู กูเป็น
เมื่อท่านพบธรรมแล้ว
“เข้าใจ” ท่านมักขาดสติเผลอคิดต่อว่าเราเป็นแบบนี้นี่? กูเป็นแบบนี้นี่ เช่น
เมื่ออ่านเจอเขาบอกว่าพระอรหันต์มีลักษณะแบบนี้ๆ, เทพมีลักษณะแบบนี้ๆ ทันใด
ท่านก็ขาดสติ แล้วหลงคิดไปว่า “ใช่แล้ว ฉันเป็นแบบนี้” ฉันมีแบบนี้
แบบนี้คือแบบของฉัน นี่คือ อาการขาดสติ ที่เผลอไปคว้าเอาสิ่งที่รับรู้มาเป็น
“ตัวกูของกู” ฟังอะไรมาที่ดีๆ ก็เผลอคิดว่าฉันเป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะเรื่องนิพพาน
มักเอามาเป็น “ตัวกูของกู” กันเยอะทีเดียว นิพพานก็เป็นเช่นนั้นเอง
แต่พอเราเข้าไปรู้เข้า ก็จะขาดสติ เผลอคิดว่านิพพานนี้เป็นของฉัน
“ฉันได้นิพพานนี้แล้ว” เมื่อฉันตายลงจะได้นิพพานแน่นอน ไม่เกิดอีกแน่นอน
อะไรไปโน่นเลย
๔ คิดไปด้วยความเสล่อเห่อธรรม
เมื่อท่านพบธรรมแล้ว
“เข้าใจ” ท่านมักขาดสติเผลอคิดต่อว่าธรรมนี้น่าสนใจจัง ดีจัง เกิดอาการ “เห่อธรรม”
แล้วจะเริ่มเตลิดละเช่น วัดเราดีอย่างนั้นอย่างนี้หลวงพ่อเราดีอย่างนั้นอย่างนี้
ไม่ต่างอะไรกับเด็กเห่อหมอย คนที่เขาเกิดมาก็มีธรรมรอบตัวเลย
อยู่กับธรรมมาตั้งแต่เกิดนั้นมี เช่น คนที่เกิดในตระกูลพราหมณ์
ตระกูลเขารจนาธรรมะเองได้ เขาไม่เห่อ เขาเฉยๆ กับธรรมะ บางคนเบื่อเสียด้วยซ้ำ
เพราะอยู่กับธรรมมาตั้งแต่เล็ก
เขาก็จะเข้าใจคำว่า “สัพเพธัมมา อนัตตา” นิ้วที่ชี้ดวงจันทร์มิใช่ดวงจันทร์
ธรรมะไม่ใช่สัจธรรม สัจธรรมไม่อยากกล่าวได้ เขาก็จะไม่เสล่อเห่อธรรม
แต่คนที่เพิ่งมาเจอ มาปฏิบัติ ก็มักขาดสติ มีอาการเสล่อเห่อธรรมะ
๕ คิดว่านี่คือคำตอบตายตัว
เมื่อท่านพบธรรมแล้ว
“เข้าใจ” ท่านมักขาดสติเผลอคิดต่อว่า “นี่คือคำตอบ” นี่คือสิ่งที่ฉันแสวงหามานาน
แล้วท่านก็จะ “คว้าเอาไว้” เหมือนว่าวสายขาดที่ลอยเคว้งอยู่บนฟ้า ไม่มีหลักอะไร
คว้าจับอะไรได้ก็คว้าไว้ก่อน จิตใจที่ลอยเคว้งคว้างนี้ไม่มีสติ เหมือนคนจมน้ำ
ย่อมไขว่คว้าหาอะไรยึดเกาะเอาไว้ก่อน ท่านก็จะมี “ธรรมะแบบตายตัว”
ท่านก็จะเผลอขาดสติและลืมใช้ “ปัญญาที่มีพลวัตรสอดคล้องกับสถานการณ์” เช่น
เอะอะอะไรก็ “ปล่อยวางๆ” โดยไม่ดูด้วยซ้ำว่าสถานการณ์นั้นควรปล่อยวางหรือยัง?
ปล่อยวางได้แล้วหรือยัง? ปล่อยวางแล้วเกิดกรรมกระทบอะไรหรือเปล่า? กูไม่รู้ละ กูงัดท่าไม้ตาย
คำตอบตายตัวนี่ฟาดก่อนเลย
ทั้งห้าประการนี้คือ “ตัวอย่าง”
ของการขาดสติเมื่อพบธรรมะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น