ยุคแห่งการอวตาร
สัตว์โลกที่ได้เกิดเป็นมนุษย์และละยุคไม่เหมือนกัน
ด้วยบุญกรรมทำแต่งมาไม่เหมือนกัน ในยุคปัจจุบันคือยุคของการอวตาร
แต่ละคนจะไม่เหมือนตัวตนดั้งเดิมที่ตนเคยเป็น เราเหมือนต้องสวมหัวโขนเป็นสิ่งอื่น
ที่ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ จนชาติสุดท้ายก็จะหลุดพ้น ในบทความนี้ขออธิบายเรื่อง “ยุคแห่งการอวตาร” ดังต่อไปนี้
๑ การอวตารคืออะไร?
การอวตารคือ
การที่เราเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมเมื่อลงมาเกิดครับ เช่น พระนารายณ์เดิมมีสี่กร
แต่พอลงมาเกิดเป็นพระรามแล้วจะมีแค่สองมือเหมือนมนุษย์ทั่วไป
การอวตารจำเป็นต้องมีเพื่อ “ให้สอดคล้องกับยุคสมัย” เช่น
หากสรรพสัตว์มากมายมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วเสื่อมกลายเป็นปีศาจในร่างคน
พระโพธิสัตว์จะอวตารเป็นปีศาจบ้างก็ได้ เพื่อจะได้เรียนรู้และเข้าใจวิสัยของสัตว์เหล่านั้น
จากนั้นก็ปฏิบัติธรรมจนหลุดพ้น แล้วนำทางสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้หลุดพ้นตามตน
หากเราไม่ยอมอวตาร ติดอยู่ในความเป็นโพธิสัตว์อยู่ เราจะไม่เข้าใจสรรพสัตว์ได้ครับ
เราจะคิดเหมือนพระเจ้าว่าทำไมสัตว์โลกนั้นหลงโลกจัง ล้างโลกเลยดีมั้ย?
๒ ไม่ใช่ชาติเดียวนิพพานได้?
เพราะการลงมาเกิดในโลก
ทำกิจในโลก ในรูปมนุษย์ที่มีอายุขัยไม่เกินร้อยปีนี้ ไม่เพียงพอกับการทำกิจครับ
การทำกิจสวรรค์นั้นไม่ใช่แค่ลงมาสร้างวัด ชาติเดียวก็เสร็จแล้ว ไม่ใช่ครับ
บางอย่างเราลงมาเคลียร์พลังเก่า หรือเทพที่ดูแลภาคพื้นดินชุดเก่า เพื่อเปิดทางให้ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน
ระยะเวลาในการประจำการณ์ก็อาจนานประมาณพันปี ในช่วงนี้ เราต้องทำกิจอะไรบ้าง?
พันปีกว่าจะสำเร็จหน้าที่ของเรา นี่ไงฮะ อายุขัยของมนุษย์ มันไม่พอ
ชาติเดียวไม่พอในการทำกิจ เราต้องทำกิจหลายชาติเกิดดับผ่านตัวตนสมมุติมากมาย
คล้ายพระนารายณ์สิบปาง กว่าจะได้กลับบ้านเก่าก็ปางสุดท้ายครับ ดังนั้น จึงต้องอวตารเป็นอย่างอื่นก่อน
๓ การสวมหัวโขนที่เหมาะสม
การอวตารทำให้เราทำหน้าที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในยุคนั้นๆ
ได้ดี เหมือนการสวมหัวโขนที่เหมาะสม เช่น ในยุคที่มีการเข่นฆ่ากัน มีสงคราม
บางครั้งพระโพธิสัตว์จะไม่เลือกลงมาเกิดเป็นชาย แต่อวตารมาเกิดเป็นหญิงแทน
หลายท่านเข้าใจผิดว่าพระโพธิสัตว์จะเกิดเป็นชายเท่านั้น ไม่ใช่นะครับ
มีแต่พระศรีอาร์ฯ ที่จะเกิดเป็นชายเท่านั้น หลังจากเกิดเป็นหญิงอีกชาติเดียว
เพราะในชาติที่เกิดเป็นนางยักษ์ได้ตัดเต้านมเป็นพุทธบูชา
อานิสงค์นั้นทำให้จะเกิดเป็นหญิงอีกชาติเดียวและไม่ต้องเกิดเป็นหญิงอีกเลย ดังนั้น
โพธิสัตว์จะอวตารเป็นอะไรก็ได้มากมายครับ ที่เหมาะสมกับยุคสมัย
เพราะการเป็นโพธิสัตว์อาจทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่า
๔ การอวตารจะเกิดได้ทั่วไป
การอวตารจะเกิดมากจนพบได้ทั่วไป
เด็กยุคใหม่เดิมเป็นมนุษย์อยู่ดีๆ จะค่อยๆ กลายพันธุ์แล้วอวตารเป็นสิ่งอื่น เช่น
อสูรร้าย เด็กวัยรุ่นยุคใหม่เดิมเป็นมนุษย์ใสๆ เป็นเด็กใสๆ
จะกลายพันธุ์เป็นคนที่ดุร้าย ชอบซิ่งรถ เมื่อเพื่อนตายก็อาจไปถ่ายรูปกับศพของเพื่อนได้อย่างไม่มีความรู้สึก
ราวกับไร้จิตสำนึกผิดชอบชั่วดีฮะ
ในอดีตการอวตารมักเกิดกับคนพิเศษบางคน แต่ในยุคนี้การอวตารจะเกิดได้กับคนทั่วไป
ดังนั้น เราต้องตั้งสติดีๆ ระวังตัวเองไว้ดีๆ เพราะหากเราไม่ระวัง
เราจะกลายพันธุ์แล้วอวตารเป็นอะไรที่เสื่อมต่ำได้ เช่น บ้างก็อวตารเป็นอสูร,
สัตว์นรก, สัตว์เดรัจฉาน
จิตวิญญาณข้างในจะเปลี่ยนไปทั้งที่ยังมีร่างกายเป็นคนอยู่ครับ
๕ คุณละเป็น “ร่างอวตาร” หรือเปล่า?
วิธีการสังเกตุว่าเราเป็นร่างอวตารหรือไม่?
ง่ายมาก คุณยังเป็นมนุษย์ปกติเช่นเดิมไหม ถ้าไม่ คุณก็อาจเป็นร่างอวตาร
มนุษย์ปกติเป็นอย่างไรต้องทราบก่อน สรุปง่ายๆ เลย มนุษย์คือคนธรรมดาเดินดิน
ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร ใช้แค่สองมืออยู่ในโลกได้แบบเรียบง่าย
เมื่อใดที่คุณไม่ได้ใช้สองมือเปล่า คุณมีเครื่องมือมากมาย
คุณก็เริ่มไม่ใช่มนุษย์ละ หากเครื่องมือที่คุณใช้ทำกิจต้องใช้พลังภายในคุณเอง
คุณอาจอวตารเป็นเทพได้ เช่น เทพบริวารแห่งการช่าง แต่หากเครื่องมือที่คุณใช้
ไม่ได้ใช้พลังคุณเองแต่เอาพลังจากโลก เช่น น้ำมัน, ไฟฟ้า
คุณอาจอวตารเป็นมนุษย์ต่างดาว มนุษย์จริงๆ มีชีวิตเรียบง่ายมาก
ไม่เยอะถ้าผิดจากนี้อาจเป็นอวตารครับ
ยุคนี้เป็นยุคอวตาร
จะพบคนที่เป็นร่างอวตารได้มากมายครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น