ใช้ชีวิตด้วยอิทัปปัจจยตา
“การเหมารวมว่าทุกอย่างว่างเปล่า
ปฏิเสธความมีเหตุผลแบบอิทัปปัจจยตาคือมิจฉาทิฐิแบบหนึ่ง”
เพราะความเป็นจริงนั้น ทุกสิ่งไม่ได้ว่างเปล่าอยู่ตลอด
แต่มีพลวัตรเกิดดับไม่เที่ยง ดิ้นได้เหมือนปลาเป็นไม่ใช่ปลาตายลอยตามน้ำไปวันๆ ก็หาไม่
ในบทความนี้ขออธิบายเรื่อง “การใช้ชีวิตด้วยอิทัปปัจจยตา” ดังต่อไปนี้
๑ อย่านั่งทื่อบื้อใบ้รอนิพพาน
หลายท่านคิดว่าพระอรหันต์ต้องนั่งนิ่งบื้อใบ้เป็นพระอิฐพระปูนที่เขากราบไหว้ทุกวัน
พระหลายรูปก็ชอบทำตัวแบบนั้นเพื่อให้คนเขาคิดว่าเป็นพระอรหันต์เสียด้วยสิ
ไม่ใช่นะครับ การนั่งทื่อบื้อใบ้รอนิพพานไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญาจริงแต่เป็น
“ความหลงในรูป” อย่างหนึ่ง หลงในรูปอย่างไร?
ก็หลงในรูปแบบแห่งความนิ่ง ความว่างเปล่าหรือนิพพานว่าเป็นความถูกต้องแบบตายตัว ไม่มีพลวัตร
ไม่มีอนิจจัง ไม่พลิกแพลงพลิกผัน นี่ไม่ใช่ลักษณะของความจริงครับ
ลักษณะของความจริงสามประการเรียกว่า “ไตรลักษณ์” ได้แก่ อนิจจัง, ทุกขัง
และอนัตตานั้น มีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา เกิดดับได้เป็นธรรมดา
ไม่ได้แน่นิ่งตายตัวอย่างนั้นครับ
๒ ชีวิตที่แท้จริงมีการต่อสู้ดิ้นรน
“สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตก็คือชีวิต”
มิใช่เงินทองของนอกกาย ชีวิตที่มีมูลค่าเพิ่มเรียกว่า “กำไรชีวิต” ก็คือ
การมีชีวิตที่มากกว่าเดิม, ขยายกว้างกว่าเดิม, หลากหลายมิติกว่าเดิม ฯลฯ
ชีวิตไม่ใช่ความตาย ย่อมต้องดิ้นได้ เหมือนปลาเป็นมิใช่ปลาตาย
ชีวิตที่ดิ้นได้มากย่อมมีชีวิตชีวามาก ชีวิตที่ดิ้นได้น้อยย่อมมีชีวิตชีวาน้อย
คนที่มีชีวิตชีวามาก ย่อมดิ้นรนต่อสู้มาก เรียกว่า “มีชีวิตชีวามาก”
มีชีวิตชีวามาก ก็คือ “ความร่ำรวยที่แท้จริง” ดังนั้น
คนที่ยิ่งต่อสู้ดิ้นรนก็จะยิ่งรวย ส่วนคนที่ไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนอะไร อยู่ไปวันๆ
ซังกะตายไร้ชีวิตชีวา ก็จะยากจน อาณาเขตแห่งความมีชีวิตของเขาค่อยๆ หดแคบลง (บ้างยอมแลกความมีชีวิตชีวากับเงินตราก็มี)
๓ จงมีพลวัตรเกิดดับ มีชีวิตชีวา
หลายคนมาปฏิบัติธรรมแล้วชอบทำตัวเหมือนท่อนไม้
เพื่อให้ดูราวกับว่ามีธรรมแล้วเหมือนพระอรหันต์แล้ว ไม่ใช่นะครับ
การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การเลียนแบบบุคลิกของพระอรหันต์
และยิ่งไม่ใช่การทำบุคลิกภายนอกให้เหมือนพระอรหันต์ในอุดมคติของใคร
เป็นตัวของตัวเองก่อนครับ กลับมาที่ฐานกายฐานจิต กลับมาที่ตัวเราก่อน อย่าเพิ่งเตลิดไปไกลเรื่องอะไร
เรื่องใครจะเป็นอรหันต์ ปฏิบัติแล้วมีบุคลิกอย่างไร ก็ช่างเขาไปก่อน
อีกประการผู้มีปัญญานั้นจะไม่ใช่คนที่แข็งทื่อบื้อใบ้ไร้ชีวิตชีวา
แต่จะมีความสดใสมีชีวิตชีวา เพราะมีปราณที่สว่างสดใสภายในครับ
คนที่ไม่มีปราณชีพที่มีชีวิตชีวาสว่างสดใสภายใน ไม่มีทางบรรลุธรรมอะไรได้เลย
๔ ชีวิตเหมือนอาหารที่เราปรุงแต่ง
“สร้างเหตุอย่างไรย่อมได้ผลอย่างนั้น”
ไม่ได้แปลว่าให้เราหยุดสร้างเหตุทุกอย่างเพราะ “กลัวกรรม” ไปหมด ไม่ใช่ครับ
แต่ให้เรามีปัญญาเข้าใจแจ้งชัดว่าจะทำอะไรก็ใช้สติปัญญาก่อน เพราะทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น
แต่ไม่ใช่ให้เรากลัวกรรมเสียจนสุดโต่งแบบไม่กล้าทำอะไรเลย กลัวกรรมไปหมด ไม่ใช่
เราสามารถทำกรรมแต่ “พอดี” ได้ ชีวิตก็ต้องมีกรรมบ้าง
ไม่ใช่จะสะอาดไม่แปดเปื้อนอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ครับ เมื่อเราต้องทำกรรมบ้าง
เราก็ใช้สติปัญญาพิจารณาว่าเราจะทำกรรมอะไรได้บ้าง เหมือนการทำอาหาร
เราต้องพิจารณาว่าจะต้องใส่อะไรลงไปบ้าง จริงไหม? ผัดกระเพราต้องใส่อะไรบ้าง?
ต้องใช้เครื่องปรุงอะไรบ้าง? ก็แค่นั้นเอง
๕ ผู้มีปัญญากับการใช้อิทัปปัจจยตา
ผู้มีปัญญาแท้จริงจะดำเนินชีวิตด้วยอิทัปปัจจยตา
ไม่ใช่เอาความว่างเปล่าหรือสุญตามาใช้ดำเนินชีวิต อันสุญตานั้นเขาใช้ “ล้างอวิชชา”
เพราะคนเราไม่มีใครตรัสรู้แจ้งมาก่อน เมื่อปฏิบัติธรรมด้วยความไม่รู้ ก็หลงทาง
เอาอะไรที่ไม่ใช่มาแบกไว้เยอะแยะ ความรู้ก็ดี,
ธรรมะที่อ่านที่ฟังมาก็ดีเยอะแยะเต็มไปหมด ท่านก็เลยใช้ “มหาสุญตาล้างเลย” สุญตาเขาใช้แบบนี้
มิใช่เอาไปใช้กับการดำเนินชีวิต เหมือน “เซน”
ที่ว่าก่อนปฏิบัติธรรมเห็นภูเขาเป็นภูเขา, พอปฏิบัติธรรม เห็นภูเขาเป็นความว่าง,
หลังสำเร็จธรรมเห็นภูเขาเป็นภูเขาดังเดิม เพราะเราเริ่มต้นปฏิบัติด้วยความหลง,
ไม่รู้ ก็เลยต้องล้างด้วยสุญตา แต่สุญตาไม่ใช่หลักการดำเนินชีวิต!
อยากใช้ชีวิตเป็นอย่างไร
ก็สร้างเหตุให้เป็นอย่างนั้นเท่านั้นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น