ทำไมต้องอวตารมาทำกรรม?




ในบทความก่อนได้อธิบายว่าการไปสุขาวดีนั้นไปด้วยกรรมมาแล้วเพราะผู้ที่จะไปได้นั้นจะต้องผ่านนิพพานก่อน แต่หากนิพพานแล้วก็จบไปต่อไม่ได้ ดังนั้น จะต่อไปได้ก็ต้องทำกรรมให้ไม่นิพพาน ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องการอวตารลงมาทำกรรมร่วมกับปวงสัตว์ว่ามีความเป็นมาอย่างไร? ทำไมต้องมี ดังต่อไปนี้ครับ

๑ เพราะไม่มีกรรมร่วมกันมาก่อน
หากมีสัตว์จำนวนล้านตนที่ไม่มีบุญกรรมเกี่ยวข้องกับเราเลย เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเขาได้ไหม? ตอบว่า ไม่ได้ครับ หากเราจะฉุดช่วยเขา เราต้องมีกรรมเกี่ยวข้องกับเขาก่อน และหากเรามีบุญบารมีมากล้นแล้วเราจะทำบุญมากไปอีก ไม่ได้ เพราะพวกเขาจะทำบุญตามเราไม่ทัน ดังนั้น เราจำต้องหยุดทำบุญแล้วทำกรรมแทนที่ทำเช่นนี้ได้ “เราต้องมีบุญบารมีมากกว่าเขา” นะครับ ไม่ใช่มีบุญบารมีน้อยกว่าเขาแล้วยังไปทำกรรมใส่เขาอีก แบบนั้นไม่ได้ ดังนั้น สวรรค์มักให้เราลงมาทำกรรม เช่น ทำสงคราม และเรามักได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ในการทำสงครามนั้น ทั้งๆ ที่จริงอาจเป็นเรื่องงี่เง่าก็ได้ รบกันไปทำไม? เข่นฆ่ากันไปทำไม? ใช่มั้ย
                                                                                                                    
๒ เพราะได้รับฝากจากผู้อื่นมา
“บริวารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวกูของกู” สมมุติ มีทหารล้านตนเป็นบริวารของพระเจ้าตากสิน แล้วท่านไปต่อไม่ไหวแล้ว อยากนิพพานแล้ว ท่านก็จะเอาบริวารมาฝากให้เรารับช่วงโปรดต่อไปครับ บริวารเหล่านี้อาจไม่มีบุญกรรมร่วมกับเรามาก่อนเลย เพื่อให้มาอยู่กับเราได้ ต้องทำบุญกรรมผูกมัดกัน แต่จะให้เขาทำกรรมใส่เราก็ไม่ได้ เพราะเขาบุญน้อยกว่าเรามาก เราจำต้องเป็นฝ่ายทำกรรมต่อเขาเอง เช่น ฆ่าเขาในสงคราม ถามว่าเราชอบฆ่าคนหรือ? ก็ไม่ ไม่มีใครอยากไปเหนื่อยยากในสนามรบหรอกจริงไหม? แต่สวรรค์ท่านจะจัดสรรสัตว์ให้เป็นกลุ่ม เป็นหมู่คณะ เป็นบริวารสาวกกัน ชาติแรกๆ ท่านก็ต้องให้เราทำกรรมต่อสัตว์ก่อน

เพราะจะได้เรียนรู้วิสัยสัตว์
พระโพธิสัตว์จะโปรดควายยังต้องเกิดเป็นควาย การอวตารเป็นอะไรที่ร้ายกาจ เช่น ปีศาจ อารวาดล่มเมือง ก็เพื่อที่จะเรียนรู้วิสัยสัตว์ว่าสัตว์มีวิสัยอย่างไร? ดังนั้น ในการแบ่งภาคมาเกิดยังโลกชาติแรกๆ ของโพธิสัตว์ มักจะเกิดเป็นปีศาจหรือยักษ์มารก่อน แล้วทำกรรมเยอะๆ กับปวงสัตว์ก่อนเลย หลายท่านไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็จะคิดว่าคนเราต้องไม่ทำกรรมเลยต้องมือสะอาดไม่แปดเปื้อนอะไร ไม่จริงครับ ถ้าไม่มีกรรมเลยก็นิพพานไปหมดแล้ว สุขาวดีเขาไม่เน้นให้เรานิพพานเร็ว เขาเน้นให้เราทำกิจโปรดสัตว์มากๆ ดังนั้น เราต้องทำกรรมก่อน ในชาติแรกๆ แล้วชาติหลังๆ เราจะได้หลุดพ้น จะเกิดใหม่เป็นโพธิสัตว์ได้ ตอนนั้นเราจะช่วยสัตว์ได้

เพราะบุญกรรมล้วนเป็นสมมุติ
แต่แม้เป็นสมมุติ ไม่เที่ยง ก็มีหน้าที่ของมัน กรรมมีหน้าที่ในการผูกมัดเรากับสัตว์ ไม่ต้องไปอโหสิกรรมเสียหมด เราไม่รู้กรรมจริง กรรมเป็นอจิณไตย เมื่อเราไม่รู้จริง เราไปอโหสิกรรมหมด ตัดกรรมหมด สุดท้าย เราก็จะไม่เหลือใครเลย เพราะไม่มีกรรมผูกมัดเรากับสัตว์ตนใดอีกเลย ธรรมชาติล้วนเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรถูกผิด กรรมก็ไม่ผิด บุญก็ไม่ใช่ความถูกต้อง “ทุกอย่างล้วนมีหน้าที่ของมันเอง” บุญมีหน้าที่หล่อเลี้ยงให้เราอยู่รอดได้ กรรมก็มีหน้าที่ผูกมัดเรากับสัตว์ทั้งหลาย และทั้งบุญกรรมนั้นก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตนจะยึดได้ตลอดไป บุญกรรมเป็นแค่สมมุติธรรม แต่เราก็ต้องใช้สมมุติธรรมนี้ให้เป็น ไม่ใช่กลัวกรรมจนไม่รู้แจ้งจริง

๕ เพราะมีบุญบารมีมากล้นแล้ว
เหตุนี้จำต้อง “แบ่งภาคส่วนบารมี” มาแต่น้อยแล้ว “อวตารลงมาทำกรรม” เพื่อไม่ให้บุญบารมีสูงเกินเอื้อมจนสัตว์เบื้องล่างก็ไม่อาจเอื้อมเราได้ เราต้องหยุดทำบุญไว้ก่อนเพื่อรอให้สัตว์ทั้งหลายทำบุญตามเราได้ทัน จากนั้น เราก็ต้องหันไปทำกรรมแทน เพื่อให้กรรมเป็นเครื่องผูกมัดเราและสัตว์ทั้งหลาย เช่นเชือกที่ผูกมัดตัวคนที่จมน้ำ หากไม่มีเชือกผูกมัดเราละเขา มันก็ไม่มีเส้นสายอะไรใช้ฉุดเขาออกมาจากวังวนนั้นได้จริงมั้ยฮะ ดังนั้น คนบางคนเขาไม่ได้เกิดมาทำบุญ เขาเกิดมาทำกรรม อวตารเป็นอะไรที่ดุร้าย เพราะเขามีบุญมากล้นแล้วเช่น บางคนเกิดเป็นฮ่องเต้ดุร้าย เราก็อย่าไปคิดเอาแบบตื้นๆ ว่าเขาเลวชั่ว ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเองครับ

ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมันตามหลักอิทัปปัจจยตา ทั้งสิ้นครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?