กับดักแห่งปัญญา
หลายคนไม่รู้จักใช้ “ปัญญา”
เนื่องจากปัญญาไม่ใช่ความรู้หรือความคิดเห็นอะไรทั้งนั้นหลายคนชินกับการใช้สมองคิด,
สมองรู้ ดังนั้น เขาจะไม่รู้จักการใช้ปัญญา คนที่มีปัญญานั้นอาจเหมือนคนโง่ที่ในหัวว่างเปล่าไม่มีความคิดหรือความรู้อะไรเลยก็ได้
ในบทความนี้จะขอนำเรื่องกับดักแห่งปัญญามาอธิบาย ดังต่อไปนี้
๑ การเหมารวม
เช่น
เหมารวมว่าทุกอย่างคือความว่างเปล่า, ความไม่มีอะไรทั้งนั้น, ทุกอย่างคือนิพพาน
ฯลฯ การเหมารวมแบบนี้เป็นผลมาจากความขี้เกียจเจริญสติ ขี้เกียจใช้ปัญญา
เมื่อขี้เกียจมากๆ เข้าก็เหมารวม ตอบอยู่อย่างเดียวไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ไหน
เคยเห็นใครเป็นแบบนี้ไหมครับ เหมารวมอะไรก็ว่างเปล่า
อะไรก็ไม่มีหรืออะไรก็ปล่อยวางๆ อยู่อย่างเดียวนั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่ปัญญานะครับ
ปัญญาที่แท้จริงมันจะต้องประยุกต์และพลิกแพลงเข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างได้ในสถานการณ์หนึ่งอาจมีคำตอบอย่างหนึ่งแต่ในอีกสถานการณ์หนึ่ง
อาจมีคำตอบอีกแบบหนึ่ง
นี่เรียกว่า “พลิกแพลง” ไม่ใช่อะไรๆ ก็เหมารวมใช้คำตอบเดิมคำตอบเดียว
๒ ความตายตัว
เช่น คำตอบที่แน่นอนตายตัวเกินไป
ไม่มีการพลิกแพลงเข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างแบบนี้แสดงว่าไม่ได้ใช้ปัญญา
สัจธรรมนั้นมีชีวิต ดิ้นได้ พลิกแพลงได้ด้วย “อนิจจัง” ไม่แน่นอน
แต่หากกลายเป็นคำตอบตายตัวแล้ว มันก็จะไร้ชีวิต นี่ไม่ใช่สัจธรรม
ไม่ต่างอะไรกับปลาตายไหลตามน้ำ อะไรๆ ก็ตายตัวอยู่คำตอบเดียวนั้น
จริงอยู่ว่าสัจธรรมนั้นไม่ว่ากาลจะเปลี่ยนไปอย่างไร
ย่อมมั่นคงดุจเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ปัญญานั้นจะต้องพลิกแพลงไปตามสมมุติธรรมที่เกิดดับรอบตัวได้ ดังนั้น
จะไม่ตายตัวเด็ดขาด บางคนแสวงหาสัจธรรมที่คิดว่า “ถูกต้อง” พอพบแล้วก็จะคิดว่าสิ่งนั้นถูกต้องแน่นอน
ตายตัว สุดท้าย ก็จะลืมใช้ปัญญาเพราะติดกับดัก
๓ ไม่อยู่กับสถานการณ์จริง
เช่น
อยู่กับหลักการ, อุดมการณ์, ทฤษฎี ฯลฯ มากเกินไปจนไม่ดู “สถานการณ์ปัจจุบัน”
ที่เป็นอยู่ เมื่อสติไม่อยู่กับธรรมะในปัจจุบัน ปัญญาก็จะไม่เกิด นี่คือ “กับดักแห่งปัญญา”
ที่พบได้บ่อยมากที่สุด อันข้อมูลจากตำราหรือหลักการต่างๆ นั้น เราไว้ใช้อ้างอิงได้
แต่ไม่ใช่ยึดมั่นจนขยับไม่ได้แน่นิ่งเป็นปลาตาย
อุปมาเหมือนเราถือกระบี่แบบแข็งทื่อตายตัว เราจะสู้ใครได้ไหม? ย่อมไม่ได้
แต่หากขยับกระบี่ฟันแทง ก็ยังพอสู้ได้บ้าง นี่ละ
หลักการและความรู้ในตำราก็เหมือนกระบี่ในมือ ไม่ใช่ให้เรายึดถือแบบแน่นอนตายตัวเช่นนั้น
แต่เราจะพลิกแพลงใช้มันอย่างไรให้ “สอดคล้องกับสถานการณ์” ต่างหาก
หลายคนติดกับดักตรงนี้จึงใช้ตำราไม่เป็น
๔ การมีคำตอบไว้ก่อนแล้ว
เช่น
มีคำตอบที่คิดว่า “ถูกต้อง” อยู่ในใจอยู่แล้ว จากนั้น ก็ไม่สนใจบริบทหรือคนรอบตัว
ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาแปลกแยกตัวเองออกจาก “ธรรมะแวดล้อม” ที่อยู่รอบตัวเขาขณะนั้น
สิ่งที่เขามีในใจค่อยๆ กลายเป็นอดีตอันไกลออกไปเรื่อยๆ
เหมือนสายน้ำที่ไกลไปแล้วไม่หวนกลับ ยิ่งนานเข้ายิ่งห่างไกลออกไปจากความจริง นี่คือ
“กับดักของปัญญา” อย่างแท้จริง คนที่จะมีปัญญาที่แท้จริงได้นั้น
“จะไม่มีคำตอบอะไรไว้ก่อน” เหมือนในหัวของเขาว่างเปล่าอย่างนั้น
แต่ไม่ใช่ว่าความว่างเปล่าเป็นธรรมะอะไรนะ
แค่เริ่มต้นจากว่างเปล่าจากการมีคำตอบเอาไว้ก่อนแค่นั้นเอง จากนั้น
คำตอบก็จะเกิดและดับแบบมีพลวัตรกับบริบทรอบตัวเราได้ครับ
๕ มัวแต่ติดตัวบุคคล
เช่น
มัวแต่จะเถียงเอาชนะเขาให้ได้ ก็เลยหลุดลอยออกจากความจริงไปเลย
อุปมาเหมือนคนที่ไล่ฟันเขาจนไม่ดูตัวเองว่าตัวเอง วิ่งมาเลยหน้าผาแล้ว เขาเป็นนกที่บินได้แต่ตัวเองหลุดจากหน้าผาแล้วบินไม่ได้
ต้องตกลงไปตายอย่างเดียว หลายคนเป็นเช่นนี้ ไล่ล่าและฟาดฟันคนอื่นจน “ไม่ดูตัวเอง”
ว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหน บางคนไปไล่จับผิดเขา ทั้งๆ ที่ไม่จริง
คนที่ถูกจับผิดเขาก็รู้ว่าคนๆ นั้นรู้ไม่จริง ก็ยังไล่จี้ ไล่ล่าเขา เอาชนะเขา
ไม่จบไม่สิ้น ไปว่าเขาเป็นอวตารคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง
ราวกับว่ารู้เห็นด้วยตาอย่างนั้น คนที่โดนไล่ล่าก็รู้แล้วว่าคนๆ นั้นรู้ไม่จริง
แต่เขาไม่พูด ปล่อยให้มันบ้าไป มันก็บ้าไม่หยุดจริงๆ หลุดโลกไปจากความจริงละ ฮ่าๆๆ
ทั้งห้าประการนี้คือตัวอย่างเบื้องต้นของกับดักแห่งปัญญาครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น