มองโลกมุมกลับเพื่อพบทางธรรม
ทางโลกกับทางธรรมมักสวนทางกัน
คนที่ได้ดีทางโลกทางธรรมมักจะตกต่ำ คนที่ได้ดีทางธรรมก็เหมือนว่าจะดูตกต่ำทางโลก
ดังนั้น การมองโลกในมุมกลับ มุมที่แตกต่างบ้าง ก็จะช่วยทำให้เราเห็นโลกในแบบต่างจากเดิม
หลุดจากกรอบความคิด ความเชื่อเดิมๆ นำไปสู่ทางหลุดพ้นได้ ดังจะอธิบายในบทความต่อไปนี้
๑ ยิ่งได้จากทางโลกน้อยยิ่งดี
คนที่ได้จากทางโลกมากยิ่งมีหนี้ทางโลกมาก
คนที่ได้ทางโลกน้อยก็จะมีหนี้ทางโลกน้อย เพราะโลกนี้ไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเรา
เราไม่ได้มาเพื่อครอบครองอะไรในโลกนี้ เราแค่หยิบยืมใช้ชั่วคราว ทว่า
หลายคนหลงอยู่กับสิ่งต่างๆ ในโลก และถูก “ซาตานครอบงำ”
ซาตานครอบงำให้หลงกับการได้, การมี, การเป็นอะไรในโลกนี้
ใครเคารพนอบน้อมต่อซาตานก็จะได้รับมาก ใครหยิ่งในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่ยอมก้มจำนนต่อซาตานก็จะไม่ได้รับอะไรจากโลก
ทว่า หลายคนไม่ทราบเบื้องหลังของโลกนี้ พวกเขาถูกหลอกให้แข่งขันกัน เพื่อให้ได้,
ให้มี, ให้เป็นอะไรมากมายในโลก พวกเขายิ่งห่างไกลจากทางธรรมไปเรื่อยๆ
และหลงคิดว่าตนดี
๒ ยิ่งให้ทางโลกมากยิ่งชำระได้มาก
โลกนี้ไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเรา
เรามาโลกเหมือนนักท่องเที่ยวแล้วเราจะต้อง “หลุดพ้นจากโลก” ไปให้ได้
การที่เราจะหลุดพ้นจากโลกไปได้นั้น เราจะต้อง “ชำระตัวเอง” ก่อน
พุทธเรียกว่ารับกรรมให้หมดก่อน ส่วนคริสต์เรียกว่าชำระบาปให้หมดก่อน
ทั้งหมดนี้ก็มีความหมายเดียวกันนั่นละครับ ดังนั้น คนที่ถูกกระทำในโลกมากๆ
เหมือนคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ, ลำบากยากจน ฯลฯ กลับยิ่งดีทางธรรม
เพราะนี่คือการชำระตัวคุณเองนั่นเอง บางคนคิดว่าเอามาก่อนแล้วไปทำบุญ
อาศัยบุญแล้วจะได้ไปสวรรค์ อันนี้คิดผิดมากเลย มันไม่เกี่ยวกัน
สัตว์ชั้นต่ำมีบุญมากก็มี เช่น หมาแมวบางตัว มันเป็นแค่หมา
แต่เคยเห็นมันอยู่ดีกว่าคนมั้ย?
๓ ยิ่งเป็นคนดีทางโลกยิ่งเนิ่นช้า?
ดังที่กล่าวแล้วว่าสังคมหล่อหลอมให้เราเป็นอย่างที่สังคมต้องการเราไม่ได้เป็นตัวของเราจริงๆ
สังคมเหมือนกรงที่กักสัตว์เอาไว้ และไม่มีทางที่สังคมจะทำให้เราหลุดจากกรงไปง่ายๆ
ดังนั้น สังคมไม่มีทางบอกให้เรารู้ความจริงบางอย่าง เช่นในบริษัท
ที่พนักงานระดับล่างจะรู้ข้อมูลเฉพาะที่ตนทำงานนั้น
จะไม่มีทางรู้ข้อมูลระดับสูงได้ ดังนั้น ยิ่งเราเชื่อสังคมมากเท่าใด
เรายิ่งเตลิดไปไกลในทางโลก และเราจะยิ่งหลุดพ้นได้เนิ่นช้า เราจะต้องหัดเป็น
“เด็กแนว” หรือพวกที่ชอบแหกคอก, แหกกรอบบ้าง คิดอะไรแตกต่างไปบ้าง
ค้นหาอะไรด้วยตัวเองบ้าง ทางนี้ต่างหากที่จะทำให้เราลัดเร็วมาสู่ทางธรรม
เด็กดีจะยิ่งห่างไกลธรรมและคิดเองไม่เป็น
๔ คนที่โชคดีคือคนที่ชะตาไม่ดี?
การดำรงชีวิตใน
“โลกธาตุบ้านที่แท้จริง” คือ ทำตัวให้ดีเพื่อให้อยู่ให้ได้ แต่ถ้าเป็น
“โลกธาตุแห่งการชำระ” ที่ไม่ใช่บ้านที่แท้จริงและเราแค่แวะมาเที่ยวชั่วคราวแล้ว
“มันจะตรงข้าม” เราจะต้องทำตัวให้ไม่ดีและทำลายตัวเอง เพื่อทำให้เรา “ตื่นแจ้งโลก”
เช่น คนที่สำมะเลเทเมา ทำให้พบทุกข์ จากนั้นรู้ตัวว่าตัวเองเฮงซวย นี่ละ
ตรงนี้เองมันจะลัดสั้นได้ ถ้ายังทำตัวดีอยู่ตลอด ก็จะหลงว่าตัวเองเป็นคนดียาวไป
จะไม่มีการทำลายตัวตน อัตตาและสักกายทิฐิอยู่ครบเพราะความหลงดี ทางลัดสั้นคือ
ทำอย่างไรให้หลุดพ้นออกมาจากตัวตนที่เป็น สังคมที่เป็น โลกที่เป็นเร็วๆ ดังนั้น
“ชะตาชีวิต” ของคนมักถูกสร้างมาให้พบทุกข์ พบความตาย จริงไหมครับ
๕ การช่วยสัตว์ในโลกคือการทำร้าย?
ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าโลกนี้ไม่ใช่บ้านที่แท้จริงไม่ใช่ที่อยู่แท้
การทำให้สัตว์หลงเพลินด้วยได้รับการดูแลดี ทำให้สัตว์นั้นถูกหลอกให้อยู่ในโลกนาน
การช่วยสัตว์ที่แท้จริงกลับตรงข้าม คือ การทำร้าย เพื่อให้สัตว์นั้นตื่นแจ้ง
และหายจากการหลงโลกใบนี้เช่น การที่ธรรมชาติในโลกมีระบบนิเวศน์สัตว์กินกันเป็นทอดๆ
อันนี้ธรรมชาติ การที่โลกมีภัยพิบัติมากมาย แผ่นดินไหว, น้ำท่วม, ภูเขาไฟระเบิด
ฯลฯ นี่ก็ธรรมชาติ ทำไมธรรมชาติในโลกนี้ จึงเป็นแบบนี้?
ก็นี่ไงครับ ที่บอกแล้วว่ายิ่งทำดีกับสัตว์ยิ่งทำร้ายให้เขาหลงโลกนาน
แต่ยิ่งสัตว์ถูกทำร้ายก็จะยิ่งตื่นแจ้งได้เร็วขึ้น
การโปรดสัตว์ก็กลายเป็นการทำร้าย ผู้นำทางโลกจึงมักนำพาคนไปตายในสงคราม
ทำอย่างไรให้สัตว์ตื่นแจ้งโลกต่างหาก คือ
การช่วยที่แท้จริง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น