ดำรงอยู่แบบชาวศรีวิไล (มิติที่ห้า)




การดำรงชีวิตของชาวโลกทั่วไปในปัจจุบันเป็นการดำรงชีวิตอยู่แบบมิติที่สาม ทว่า เมื่อมนุษย์เลื่อนระดับไปสู่มิติที่สี่และห้า การดำรงชีวิตก็จะเปลี่ยนไปจากเดิม ดีกว่าเดิม หลายท่านอาจไม่ทราบและจินตนาการไม่ออก บทความฉบับนี้ขอเรียบเรียงจากประสบการณ์มาให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้ร่วมกัน ดังต่อไปนี้ครับ

คุณภาพชีวิตระดับมิติที่ห้า
ชาวมิติที่ห้าจะมีคุณภาพชีวิตสูงขึ้นกว่ามิติที่สามและสี่ โดยมิได้วัดจากวัตถุหรือเงิน ดังต่อไปนี้ ๑ ชาวมิติที่ห้าจะมีอิสระเสรีเต็มที่ มีเจตจำนงเสรีที่จะทำงานได้อย่างอิสระไม่มีเงื่อนไขในการจ้างงาน ๒ ชาวมิติที่ห้าจะได้รับการดูแลจากจักรวาลหรือพระเจ้า โดยท่านจะส่งผู้บำเพ็ญมาดูแล เช่น ผู้อุปถัมภ์, อุปัฐาก ๓ ชาวมิติที่ห้าจะมีหน้าที่ของตนเองที่ไม่ได้เกิดจากอาชีพและการจ้างงานแต่จะทำด้วยจิตอาสา ๔ ชาวมิติที่ห้าจะได้รับพลังพิเศษบางอย่างทำให้มีความสามารถบางประการมากกว่าเดิม ๕ ชาวมิติที่ห้าจะมีสังคมที่มีระดับ แต่มีคนเข้าถึงได้น้อยลงเพราะอยู่ระดับสูง อยู่ยอดพีรามิด ซึ่งชาวมิติที่ห้าจะไม่ถือครองวัตถุแต่อยู่ได้ในโลกครับ

ธรรมนูญระดับสากลจักรวาล
ในระดับมิติที่สาม ผู้คนจะอยู่ได้ด้วยกฏหมายของประเทศของตน แต่เมื่อเลื่อนระดับไปสู่มิติที่ห้าแล้ว เราจะพบว่ามี “ชาวเผ่าต่างๆ” เช่น มนุษย์ต่างดาว, เทพ, เอลฟ์ ฯลฯ อยู่ร่วมกับเรา การกระทำของเราอาจกระทบต่อการดำรงอยู่ของเขา ดังนั้น จะต้องมีกฏระเบียบที่เป็นมาตรฐานสูงกว่าเดิมในการดำรงอยู่ร่วมกัน นั่นคือ “ธรรมนูญระดับสากลจักรวาล” สำหรับชาวมนุษย์มิติต่ำๆ จะเรียกสิ่งนี้ว่า “จริยธรรมและจรรยาบรรณ” ก็ได้ ผู้ที่มีจริยธรรมและจรรยาบรรณคือ อารยชนผู้เจริญแล้วคือ ชาวศรีวิไล จะมิใช่ชนที่ล้าหลังป่าเถื่อนอีกต่อไป เช่น การไม่ถือครองที่ดิน เพราะอะไร? เพราะในอีกมิติ ที่ดินมีชาวต่างมิติถือครองก่อนเราจะเกิดอยู่แล้วครับ

๓ การติดต่อสื่อสารกับต่างมิติ
การติดต่อสื่อสารของชาวมิติที่ห้าจะเปลี่ยนไปจากชาวมิติที่สามอย่างมาก คือ ชาวมิติที่ห้าจะติดต่อสื่อสารกับสิ่งที่ “มองไม่เห็น” แต่มีชีวิต เช่น เทพ ปีศาจ มนุษย์ต่างดาวร่างพลังงาน ฯลฯ และจะต้องสื่อสารมากขึ้นครับ โลกของชาวมิติที่ห้าเหมือนในนิยายแฟนตาซี ที่มีเทพ มีปีศาจ อยู่ร่วมกับมนุษย์ แท้จริงแล้วสิ่งนี้ไม่ได้สูญหายไปตามกาลเวลา ทว่า เราแค่มองไม่เห็นเท่านั้นเอง คนด้วยกันจะคุยกันน้อยลง คนจะเหมือนสื่อสารกับอะไรบางอย่างมากขึ้น เช่น วันๆ ไม่คุยกับคนรอบข้าง เอาแต่ก้มหน้าก้มตากดมือถือ การปลีกวิเวกมากขึ้น เพราะต้องใช้ความสงบในการ “ฟังหรือจับกระแส” จากการสื่อสารในอีกมิติกลายเป็นคนสันโดษมากขึ้น

๔ การอนุมัติและการอธิษฐาน
คนเราทุกคนมีอำนาจของตัวเองใช่ไหมครับ ดังนั้น ผู้อื่นจะทำอะไรไม่ได้หากเรา “ยังไม่ได้อนุมัติ” ให้เขาทำ การอธิษฐานจะช่วยบอกคนอื่นๆ ชาวต่างมิติได้ว่าเรา “อนุญาต” ให้เขาทำได้ เช่น หากเขาต้องการใช้พลังผ่านร่างของเราสื่อสารบอกคนอื่นๆ จะทำโดยพละการณ์ไม่ได้ ผิดกฏจักรวาล เขาก็ต้องรอให้เราอนุมัติก่อน เมื่อเราอธิษฐานบอกแล้ว เป็นอันว่าเราได้อนุมัติให้เขาทำได้ เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน ไม่ผิดกฏจักรวาลแล้ว ก็จะสามารถดำเนินการได้ การอธิษฐานไม่ใช่การขอ มนุษย์มีศักดิ์ศรีในการดำรงอยู่ในโลกอย่างเข้มแข็ง มิใช่พวกอ่อนแอที่ทำอะไรไม่ได้ เอาแต่ขอเทวดาไปวันๆ ไม่ใช่ครับ อธิษฐานเป็นการอนุมัติให้ทุกๆ มิติทราบครับ

๕ เศรษฐีและผู้สำเร็จในมิติที่ห้า
สุดท้าย อาจมีคำถามว่าแล้วผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือเป็นเศรษฐีในมิติที่ห้านี้ เขาจะมีลักษณะหรือความเป็นอยู่อย่างไร คำตอบคือ เขาจะไม่ถือครองอะไรเลย แต่เขาจะสามารถหยิบยืมใช้ได้มาก ยิ่งรวยมากยิ่งหยิบยืมใช้ได้มาก เช่น พระที่นอนที่ไหนก็ได้ โลกนี้คือบ้าน เดินไปได้ทั่วโลก ค่ำไหนนอนนั่น เห็นไหมบ้านของเขามีอยู่ทั่วทุกที่, คนที่มักได้รับอาหารจากคนอื่นๆ โดยมิได้ขอ มีคนเอามาให้กินเอง, คนที่ไปนั่งร้านไหน มักไม่ค่อยมีคน มักว่างราวกับจองทั้งร้านเป็นแขกวีไอพี, คนที่มีเวลาเหลือเฟือ จะทำอะไรก็ได้อย่างอิสระไม่มีใครมาสั่งทั้งเจ้านายและลูกค้า, คนที่มีความอิ่มเต็มอยู่เสมอ ไม่หิวกระหาย เห็นสินค้าก็เฉยๆ ไม่อยากได้

สิ่งเหล่านี้อย่าไปอุปทานเอาครับ เพราะซาตานจะเอามาให้คุณได้!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?