ความวิปริตผิดเพี้ยนในผู้ปฏิบัติธรรม
ปัจจุบันมีผู้สนใจปฏิบัติธรรมกันมาก ทว่า
การปฏิบัติธรรมนั้นมีความเสี่ยง บางคนเป็นบ้า บางคนป่วยก็มี
หลายคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นจำต้องมีผู้ดูแล หลายคนปฏิบัติธรรมเองไม่มีครูคอยที่จะเตือนสติ
ก็หลงเตลิดผิดทิศผิดทางไปไม่มีใครเตือนสติให้ได้ ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบาย ดังต่อไปนี้
๑ ธรรมะวิปลาส
กลุ่มนี้ปฏิบัติธรรมแล้วมีทิฐิที่ไม่ตรงตามจริง
เห็นธรรมะ ธรรมชาติวิปริตผิดเพี้ยนออกไป เช่น เห็นทุกอย่างเป็นความว่างไปหมด ยึดติดความว่าง
สร้างสัญญามั่นหมายไว้ในใจให้เป็นความว่างไปหมด ละเลยการทำความเข้าใจในเหตุผล
พูดกับใครไม่มีเหตุผล ตรรกะผิดเพี้ยน เพราะไม่เข้าใจในอิทัปปัจจยตา แม้แต่หลวงปู่มั่นยังเคยสัญญาวิปลาสมาแล้ว
คุณเป็นใคร มีดีกว่าหลวงปู่มั่นแค่ไหน? มาคิดว่าตัวเองจะไม่พลาด?
แต่หลายคนไม่ได้คิดแบบนี้ หลายคน “ไม่รู้จักประมาณตนเอง” ธรรมะก็เหมือนงูพิษ
จับผิด เข้าใจผิด ผิดหลัก ผิดประเด็นก็ถูกงูพิษฉกกัดได้ เตือนแล้วเตือนอีกก็ไม่ฟัง
สุดท้าย ก็เกิดทิฐิวิปลาสจนไม่มีใครช่วยแก้ให้ได้
๒ หลงตัวเอง
กลุ่มนี้หลายท่านคงได้พบเจอผ่านตามาไม่มากก็น้อย
คนเรานั้นเชื่อมั่นในตัวเองไม่ผิด การไม่ก้มจำนนต่อใครง่ายๆ ไม่ผิด
การหยิ่งทะนงไม่ยอมเชื่อคนที่มีธรรมะเทียมเท็จก็ยิ่งไม่ผิด นี่ไม่ใช่การหลงตัวเอง
แต่คนที่หลงตัวเองมันก็มีอยู่ เช่น ให้คนมารุมล้อมกราบไหว้ตัวเอง ถามว่าประเพณีไทยอะไรรับรอง?
บางคนไม่ใช่พระ ไม่ใช่ครูอาจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง
ใช้การยกย่องกันเอง ยกตัวเอง อุปโลกน์ตัวเองกันมาก็มี แถมมีเยอะเสียด้วย
บางคนเป็นฆราวาสไปนั่งสูงเหนือพระเลย แบบนี้ก็มี พระที่ท่านปฏิบัติไม่ได้ก็มี
นี่ก็เป็นธรรมะของคนเราต้องมีดีบ้างเสียบ้าง
แต่ไม่ใช่เหตุที่เราจะเอาพระมานั่งต่ำกว่าเราทั้งๆ ที่เราเป็นโยม
๓ เตลิดเปิดเปิง
กลุ่มนี้เหมือน
“ม้าที่บ้าคลั่ง” คือ อยากเอาชนะคะคานกัน ทุ่มเถียงเอาชนะกันราวกับม้าที่วิ่งแข่งจะเอาชนะกันให้ได้จน
“เตลิดเปิดเปิงเข้าป่าเข้ารก” ไปเลย พูดง่ายๆ เถียงจะเอาชนะเขาให้ได้ จนสิ่งที่คิด
ที่เข้าใจและพูดออกมามันเพี้ยน มันผิด จนเตลิดเปิดเปิงเข้าป่าเข้ารกไปเลย
พวกนี้หลายท่านคงพบเห็นได้ทั่วไป ไม่มากก็น้อย หลายคนเป็นร่างผีม้าบ้อง
ผีม้าบ้องมันไม่ยอมแพ้ใคร มันจะต้องเอาชนะคะคานคนอื่นเขาให้ได้
มันก็วิ่งเตลิดไปหลงทิศผิดทางเข้าป่าเข้ารก คนๆ
นั้นก็ไม่รู้ตัวว่าผีมันเข้าตัวเองอยู่ ใครสอนก็ไม่ได้ครับ
เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์ปกติ เขาเป็นร่างผีม้าบ้อง เมื่อก่อนหลายคนเป็นคนปกติที่มีมานะแต่เดี๋ยวนี้มันผิดปกติแล้วครับ
๔ พวกไม่เจียมตัว
หลายคนไม่รู้ว่าพระนักปฏิบัติทั้งหลายกว่าจะได้รับ
“กรรมฐาน” ไปจากครูอาจารย์นั้นต้องมีอินทรีย์พร้อมพอที่จะรองรับก่อน
ท่านจะให้เราอุปฐากประมาณห้าปีนะ นี่โบราณท่านทำกันมาแบบนี้ โยมสมัยนี้อวดดี
อวดเก่ง ยังนอนกับผัวกับเมียอยู่เลย บางคนเป็นหม้ายก็หลงว่าไม่มีกามแล้ว
ก็ริลองกรรมฐานเอง ระวังนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน กรรมฐานก็เหมือนไฟ ยิ่งกว่าไฟอีก
เล่นแล้วผิดพลาดบ้าได้เลย บางคนเล่นกสิณแล้วบ้าแล้วเพี้ยนก็มีเยอะไป นี่เรียกว่า
“พวกไม่เจียมตัว” เราเกิดมาเป็นคนต้องรู้จักเจียมตัวครับ
เคยมีใครสอนไหมว่าให้เราเจียมตัว? ประมาณตน? หากเราไม่ใช่พระ ศีลก็น้อย
ต้องระวังอย่าไปริอาจปฏิบัติจนเกินตัว
๕ พวกบ้าคลั่งธรรมะ
“ธรรมะไม่ใช่สัจธรรม
ธรรมะคือนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ มันไม่ใช่ดวงจันทร์” เมื่อใดที่คุณแสวงหา “ธรรมะที่ถูกต้อง”
แล้วคิดว่า “กูเจอแล้ว” คุณจะยึดมั่นมันอย่างบ้าคลั่ง หลายคนเป็นแบบนี้
หลงธรรมะอย่างบ้าคลั่ง บ้างว่าพระวัดนี้ถูกที่สุด, บ้างว่าตำรานี้ถูกที่สุด,
บ้างว่าอาจารย์ท่านนี้ถูกที่สุด ฯลฯ นี่ละ อาการบ้านิ้วที่ชี้ดวงจันทร์
มันไม่ใช่ดวงจันทร์ สัจธรรมมันพูดไม่ได้ ไอ้ที่พูดได้คือธรรมะ ไม่ใช่สัจธรรม
สิ่งที่คุณเห็นคือนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ มันไม่ใช่ดวงจันทร์
อย่าไปบ้าคลั่งอะไรกับธรรมะ คำว่า “ปริยัติ” คือ
มีปัญญาตื่นแจ้งแล้วว่าธรรมะเหล่านี้ไม่ใช่ตัวกูของกูที่จะไปยึดมั่นถือมั่น
ธรรมะก็ไม่ต่างอะไรกับเงาจันทร์ในน้ำ เห็นได้แบบนี้คือ “มหาสุญตา”
อย่าปฏิบัติธรรมมิเข้าถึงสัจธรรม
แต่ติดอยู่เพียงเปลือกธรรมะ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น