ไม่ยึดมั่นแต่ “พอดี” ?




“ความไม่ยึดมั่นมากเกินไปคือความสุดโต่ง คือ ยึดมั่นความไม่ยึดมั่น” หลายคนไปตั้งไปต้อง คือ ตั้งเจตนาว่าจะต้องไม่ยึดมั่นเกินไปจนกลายเป็น “ยึดมั่นความไม่ยึดมั่น” นี่ยังไม่ถูกต้องนะครับ ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความเรื่อง “อตัมมยตา” คือ ภาวะที่ไม่เอาอะไรกับอะไรแล้ว ไม่ยึดมั่นแต่ “พอดี” ดังต่อไปนี้

ติดในรูปแบบ “ความไม่ยึดมั่น”
“เฉกเช่นจอมยุทธ์ที่ติดอยู่ในกระบวนท่า” ในที่นี้คือ “กระบวนท่าความไม่ยึดมั่น” อยู่ท่าเดียว เอะอะอะไรก็ ความไม่ยึดมั่นไว้ก่อนจน “มีรูปแบบตายตัว” นี่จัดเป็นการ “ติดในรูป” อย่างหนึ่งนะครับ คือ ติดในรูปแบบของความไม่ยึดมั่น นั่นเอง คนที่เป็นแบบนี้มักจะ “ขี้เกียจพิจารณา” ขี้เกียจเจริญสติ เจริญปัญญา กล่าวคือ กูไม่คิด ไม่ใช้ปัญญาห่าอะไรละ เอะอะอะไรก็เอารูปแบบเดิมๆ ไปก่อน เถียงกะใคร พูดกะใครก็อ้างหลักนี้ไว้ก่อนแบบไม่ลืมหูลืมตา แบบไม่ดูว่า “เหมาะสมกับกาลเทศะ” หรือไม่? ไม่มีสติอยู่กับธรรมปัจจุบัน ไม่รู้ว่า ณ ปัจจุบันนี้ อะไรยังไม่ควรปล่อยวาง ติดชินกับการปล่อยวางเสียเสียจนไม่ดูตาม้าตาเรือเพราะ “มืดบอด”

๒ สุดโต่งใน “ความไม่ยึดมั่น”
คนกลุ่มนี้มี “มานะทิฐิ” ความอยากเอาชนะเป็นกำลังหนุนให้ “แข่งกันไม่ยึดมั่น” ใครไม่ยึดมั่นได้เท่านั้น เราจะเอาให้มากกว่าเท่านี้ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่จบสิ้น และมักจะ “ดีแต่พูดแต่ไม่ทำ” หรือทำจริงไม่ได้ครับ คนกลุ่มนี้ แค่ “อยากเถียงเอาชนะ” กันเท่านั้นเอง เช่น ถ้าแม่ค้าขายอาหารตามสั่ง ทำอาหารตามสั่ง ก็หาว่าเขายึดมั่น คือ เขาสั่งข้าวผัดแม่ค้าก็ทำข้าวผัด แต่คนพวกนี้จะหาว่าแม่ค้ายึดมั่นได้ครับ นี่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด เคยเจอคนประเภทนี้ไหมครับ? แข่งกันแบบสุดโต่ง ไม่มีที่สิ้นสุดว่าใครจะไม่ยึดมั่นได้มากกว่าจนไม่ลืมหูลืมตาดูว่าอะไรเป็นอะไร ไม่อยู่กับบริบทปัจจุบันธรรม ทำก็ไม่ได้จริงและไม่ทำจริง แค่ “เถียงเอาชนะกัน”

๓ เกทับไว้ก่อนโดยไม่ดูเหตุผล
คนกลุ่มนี้เป็นมิจฉาทิฐิแบบแอบซ่อน กล่าวคือ พวกเขาไม่มีความเชื่อในอิทัปปัจจัยตา ไม่มีเหตุผลที่แท้จริง และไม่ดูเหตุผลอีกด้วย พวกเขาสักแต่ว่า “ใช้ความไม่ยึดมั่น” อย่างไม่มีเหตุผล ไร้เหตุผล และไม่ดูเหตุผลที่เป็นอยู่ในปัจจุบันธรรม เช่น ถ้าคุณมีลูกเมียต้องเลี้ยงดู พวกเขาก็จะโจมตีคุณว่า “คุณยึดมั่น” โดยไม่ดูว่ามีเหตุผลอะไรไหมที่คุณต้องดูแลลูกเมีย เคยไหมครับ คุยธรรมะหรือถกกับใครแล้วเขาก็ใช้ความไม่ยึดมั่นมาเล่นงานเพื่อเอาชนะคุณโดยไม่ดูเหตุผล ความไม่ยึดมั่นที่แท้จริงนั้นต้องอยู่บนหลักอิทัปปัจจัยตา มีเหตุผลครับ เพราะความไม่ยึดมั่นที่ไร้เหตุผลก็คือ “ความยึดมั่นความไม่ยึดมั่นอย่างไร้เหตุผล” แบบนี้ก็คือ มืดบอด

๔ ดีแต่อ้าง “ความไม่ยึดมั่น” เอาไว้ก่อน
คนกลุ่มนี้คือ “พวกชอบอ้าง” อ้างอิงอะไรที่ดูน่าเชื่อถือหรือคิดว่าถูกต้องเอาไว้ก่อนเพื่อให้ตนได้อยู่ฝ่ายถูก คนพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับพวกที่ชอบอ้างตำรา, อ้างครูบาอาจารย์, อ้างพระพุทธวัจนะ ฯลฯ คือ มืดบอดไม่มีสติปัญญาก็เลยได้แต่อ้าง “ความไม่ยึดมั่น” เอาไว้ก่อน คนพวกนี้จะหลอกลวงผู้คนได้แนบเนียนเพราะว่าใช้ “การอ้าง” หลักการที่คนทั่วไปยอมรับหรือเชื่อถือ บ้างก็อ้างตำรา, อ้างคำครู ฯลฯ การอ้างอิงนั้นเขาใช้ได้ถ้า “พอดี” เช่น ตามหลักการทางวิชาการ เขาก็อ้างอิงข้อมูลแต่พอดี แต่ไม่ใช่ “อ้างจนสุดโต่ง” จนไม่อ้าง ไม่ได้ เอะอะอะไรก็ต้องอ้างไว้ก่อน บางอย่างไม่ต้องอ้างก็ได้ครับ เช่น แม่ค้าถามกินอะไร ก็ไม่ต้องอ้างว่าอะไรก็ได้

๕ ไหลตามกระแส “ความไม่ยึดมั่น”
กลุ่มนี้พบได้มาก ส่วนใหญ่เป็นแค่ “ปุถุชนธรรมดา” กิน, ขี้, ปี้, นอน ไปวันๆ ไม่ต่างกับหมาแมว จิตไม่ได้สูงกว่าเดิม ไม่ได้พัฒนาไปไหนเลย ไม่มีมรรคผลในทางธรรม ไม่มีการปฏิบัติอันแท้จริงแต่ทำตัวเหมือนคนทางโลกคือ “ไหลตามกระแส” พอเข้ามาสู่แวดวงธรรมะ ได้ยินเขาพูดว่าไม่ยึดมั่น ก็ไหลตามกระแสว่าตามเขาไป ไม่เป็นตัวของตัวเอง บางอย่างหากพิจารณาด้วยสติปัญญาและเหตุผลแล้ว “มันยังไม่ใช่วาระที่จะไม่ยึดมั่นก็มี” เข้าใจไหมครับ เช่น แม่ค้าถามว่าจะกินอะไร เราก็ต้องบอกเขาไป ไม่ใช่อะไรก็ไม่ยึดมั่น ได้ที่ไหนละ คนพวกนี้มักดีแต่พูดแต่ทำไม่ได้จริง เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่อาจไม่ยึดมั่นได้ พวกเขาก็แค่ไหลตามกระแสไปเท่านั้น

การปล่อยวางพูดง่ายแต่เป็นธรรมชั้นสูง ไม่ใช่เอามาพูดพล่อยๆ ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?