จิตอย่างไรชินกับการไปสวรรค์?
“ตายแล้วไม่สูญ”
เป็นคำที่หลวงพ่อฤษีลิงดำเตือนสติบ่อยๆ นิพพานไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือไม่เกิด คนละเรื่องกัน
หลายคนมักคิดไปเองว่านิพพานเป็นของง่ายๆ ตายแล้วว่างเปล่าไป นั่นคือแนวคิดในลัทธินิรัตตาครับ
พุทธไม่สอนแบบนั้น พุทธสอนว่า “อย่าประมาท” ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความ ดังต่อไปนี้
๑ ชินกับคนน้อยมากกว่าคนมาก
“คนน้อยไปสวรรค์
คนมากไปนรก” สวรรค์ชั้นสูงๆ ยิ่งวิเวก เช่น พรหมโลก วิเวกและเป็นส่วนตัวมาก
วิมานใครวิมานมันอยู่ห่างไกลกัน ไม่มารบกวนกันนอกจากจะมีกิจก็มาเจอกันได้
คนรวยมักชอบวีไอพี คือ จองที่คนน้อยๆ หรือเหมาร้านทั้งร้านกินโต๊ะเดียวเป็นต้น
จิตที่ชินกับคนน้อยมักไปสวรรค์ จิตที่ชินกับคนมาก มักไปนรก เช่น
ชอบเที่ยวสงกรานต์, ชอบไปที่คนเยอะ, ชอบคอนเสิร์ต,
ชอบให้คนแห่มารุมล้อมหรือกราบไหว้ คนเราเกิดมาตัวเดียว ก็ตายไปตัวเดียว
เราต้องไม่หลงกับการถูกรักหรือถูกห้อมล้อม อย่าไปสนใจให้คนมานิยม มาไลค์เยอะๆ
หรือมาเลือกเราเป็นอะไรมากมาย เพราะคนที่รักเราจริงๆ มันไม่ได้มีเยอะแบบนั้นหรอก
๒ ชอบความวิเวกไม่กลัวเดียวดาย
“ยิ่งสูงยิ่งหนาว”
สวรรค์อยู่สูง จะต้องชินกับความวิเวก ความวิเวกไม่ได้หมายความว่าเราโดดเดี่ยว
แต่เราจะต้องไม่กลัวความโดดเดี่ยวเดียวดาย จิตเทพเท่านั้นที่จะนิยมความวิเวก
อยู่กับความวิเวกแล้วไม่ทุกข์ใจ จิตของสัตว์ชั้นต่ำๆ จะไม่เป็นเช่นนี้ นี่คือ
ความแตกต่างกันอย่างชัดเจน คนที่จะได้ไปสวรรค์ทุกคนจะต้อง “ถูกทดสอบให้เดียวดาย”
เช่น ถูกทิ้ง ไม่มีใครรัก ไม่มีใครเอา แล้วเขาก็ตื่นแจ้งโลก ไม่หลงโลก
แล้วยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง เช่นนี้ เขาก็เข้มแข็งพอที่จะได้อยู่สวรรค์
จริงไหมครับ เพราะอะไร? เพราะคนในโลกตายแล้วไม่ได้ไปด้วยกัน ต่างคนต่างไปครับ
ดังนั้น หากละความผูกพันอาลัยไม่ได้ ก็อยู่บนสวรรค์กับเขาไม่ได้
๓ อยู่ได้ในกฏระเบียบ,
ธรรมวินัย
ข้อนี้สำคัญมาก
เพราะการอยู่ในระบบการปกครองอะไรก็ตามต้องมีกฏระเบียบร่วมกันจริงไหมครับ?
บางคนอยู่ในกฏระเบียบของใครเขาไม่ได้เลย เป็นเหมือนพระปัจเจกฯ ที่เข้ากับสังคมใครไหนไม่ได้
ต้องอยู่เดี่ยว ไม่เกี่ยวกับใคร เหตุนี้ การถือศีล การอยู่ในธรรมวินัยย่อมดีแน่
เพราะทำให้เราชินกับการอยู่ในกรอบสังคม เราก็จะพร้อมที่จะอยู่กับชาวสวรรค์เขาได้ ต้องทำให้จิตชินกับการ
“ละเว้นการกระทำกรรม” อย่าทำอะไรที่นอกลู่นอกทาง อย่าคิดเองทำเอง อุปทานไปเองว่า
“ทำความดี” อันนี้อันตรายมาก หากอุปทานไปเองว่าทำความดี
ช่วยญาติในโลกโดยไม่ฟังเจ้าสวรรค์
คิดดูว่าสวรรค์จะวุ่นวายขนาดไหนที่มีคนทำเพื่อญาติในโลก?
๔ ไม่กลัว, กล้าเผชิญหน้ากับความตาย
เทพทุกองค์จะกล้าเผชิญหน้ากับความตายทั้งนั้น
เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ในโลก เพราะตื่นแจ้งโลก ไม่หลงโลกแล้วในระดับหนึ่ง จึงพร้อมที่จะหลุดพ้นโลกได้
คนที่จิตเสื่อมต่ำ
คนที่จะต้องตกนรกมักกลัวความตายด้วยจิตของเขารู้อยู่ว่าจะต้องไปเจอความทุกข์ทรมาน
แต่จิตของคนที่จะได้ไปสวรรค์ จะไม่กลัวความตาย พร้อมที่จะตาย
เพราะจิตรู้อยู่ข้างในว่าจะได้ไปดี
การกล้าเผชิญหน้ากับความตายนี้ไม่ได้แปลว่าอยากฆ่าตัวตายนะ ไม่ใช่
แต่เป็นความกล้าหาญไม่กลัวตายต่างหาก จิตที่สูงส่งเกินกว่าโลกจะเบื่อหน่ายโลก
เหมือนคนรวยมาเสพกินของคนจน เขาก็จะไม่ชอบ จะเบื่อหน่ายของแบบนั้น
เมื่อนั้นเขาก็กล้าจะเผชิญหน้ากับความตาย
๕ ชินกับนามธรรมมากกว่ารูปธรรม
หลายคนยังหลงวนอยู่กับอะไรที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้
นั่นแสดงว่าจิตยังอยู่ระดับต่ำอยู่นะครับ
จิตระดับสูงจะชินกับอะไรที่เป็นนามธรรมมากกว่ารูปธรรม วัตถุสิ่งของอะไรในโลก
ล้วนเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งจิตทำให้ไม่ไปสู่สวรรค์ได้ เช่น บ้าน, รถ, เพชรพลอย,
กระเป๋าหรู ฯลฯ หลายคนตายแล้วกลายเป็น “ผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์”
ยิ่งคนที่มีวัตถุสิ่งของผูกรั้งจิตมากนี่ยิ่งมีความเสี่ยงสูง
หลายคนนอกจากมีแล้วยัง “หวงทรัพย์” อีก แบบนี้ไม่รอดครับ มีโอกาสเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาก
พุทธศาสนาสอนให้รู้จักการทำทานบารมีเพื่อให้เราสละออกไปจากพันธนาการนี้
เพื่อตัวเราเองนี่ละครับ ไม่ใช่เพื่อใครเลย ทว่า
หลายคนยังทำใจไม่ได้ที่จะสละจากทรัพย์
หลายคนรู้ธรรมะเยอะแยะ แต่ยังเป็นได้แค่
“ผีเฝ้าศาสนา” นะครับ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น