อุเบกขาที่หลายคนเข้าใจผิด?
หลายคนเข้าใจผิดใน “อุเบกขาบารมี” คือ
เข้าใจว่าการวางเฉยเสียไม่สนใจอะไรก็ได้อุเบกขาบารมีแล้ว ยังไม่ใช่นะครับ
หากเป็นเช่นนั้น คนขี้เกียจ, คนทำชั่ว, คนไม่ยอมสร้างบุญบารมี
ก็จะมีอุเบกขาบารมีได้โดยไม่ต้องทำอะไร ซึ่งไม่จริง ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายให้เข้าใจว่าอุเบกขาที่แท้จริงคืออะไร?
ดังต่อไปนี้
๑ อุเบกขาหรือนิ่งดูดาย?
หลายคนเข้าใจผิดว่าการอุเบกขาคือการที่เราไม่อะไรกับใครทั้งนั้น
ไม่ใช่นะครับ ธรรมนี้จะเกิดเป็นลำดับไปคือ เมตตาก่อเกิดกรุณา, กรุณาก่อเกิดมุทิตา,
มุทิตาก่อเกิดอุเบกขา นี่คือ การก่อเกิดตามหลักอิทัปปัจยตาในพรหมวิหารสี่
หากไม่มีเมตตาแล้ว อุเบกขาก็ไม่มี เช่น ถ้าเราเห็นคนทุกข์ตรงหน้า
เราไม่มีใจเมตตาเขาแต่เราบอกว่า “เราอุเบกขาอยู่เลยไม่ทำอะไร” แบบนี้ ไม่ถูกครับ
นี่ไม่ใช่อุเบกขาในพรหมวิหารสี่ เพราะอุเบกขาในพรหมวิหารสี่นั้น จะเกิดได้ต้องมีเมตตามาก่อน
การกระทำของคนที่ไม่มีเมตตามาก่อน แล้วบอกว่าตนนี้ อุเบกขานั้นย่อมไม่จริง
แต่แท้จริงแล้ว “เขากำลังนิ่งดูดาย” อยู่ต่างหาก หรือไม่ก็ขาดความเพียรที่จะบำเพ็ญ
๒ จะมีอุเบกขาได้
ต้องมีเมตตาก่อน
ดังที่กล่าวแล้วว่าอุเบกขาจะเกิดตามลำดับในพรหมวิหารสี่
อย่างนี้ครับ เมื่อเรามีจิตเมตตาใครแล้ว เรายอมทำกรรมเพื่อให้เขาพ้นกรรมนั้น
เรายอมรับกรรมไว้เอง การยอมทำกรรมของเราเรียกว่า “กรุณา” จากนั้น
เราก็คิดได้ว่ากรรมที่สัตว์นั้นรับ ช่วยให้สัตว์นั้นพ้นทุกข์ได้ เรามีความยินดีใน
“ธรรมะ ธรรมชาติ” อย่างที่มันเป็น เช่นนั้นเอง อันนี้เรียกว่า “มุทิตา”
เมื่อมุทิตาเกิดแล้ว เราก็จะเข้าใจว่าเราควรวางใจเป็นกลางหรืออุเบกขาได้อย่างไร?
นี่มุทิตาก่อเกิดอุเบกขาเช่นนี้ แต่มิใช่ว่าอะไรๆ ก็ไม่เอาทั้งนั้น
ไม่สนใจใครทั้งนั้น แล้วบอกว่ากำลังอุเบกขาอยู่ ไม่ใช่นะครับ เหมือนการเบรกรถ
จะเบรกได้รถต้องวิ่งก่อน เมื่อวิ่งไปแล้วเบรก “เบรกไม่ใช่หยุด”
๓ การอุเบกขาที่ผิดวิธี
คือ
ไม่ใช่อุเบกขาบารมีที่แท้จริง แต่เป็นอย่างอื่นแล้วอ้างว่ากำลังอุเบกขา เช่น
การนิ่งดูดาย, การไม่แยแส, การไม่สนใจใคร, การเกียจคร้านที่จะช่วยเหลือคน ฯลฯ
เหล่านี้ ล้วนเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการไม่ทำอะไร แล้วอ้างว่าอุเบกขาครับ ทีนี้
คุณคงแยกแยะออกแล้วนะครับระหว่าง “อุเบกขาที่แท้จริง” กับ
“อุเบกขาหลอกที่ใช้เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น” ทีนี้คำว่าอุเบกขาที่ผิดวิธีก็อย่าง
อุเบกขาที่ไม่ได้ผิดวิธีแต่ผู้กระทำ เจตนาทำเพื่อใช้เป็นข้ออ้างก็อีกอย่าง
พอแยกแยะออกนะครับ เพราะอุเบกขาที่แท้จริงไม่ใช่การไม่ทำอะไรเมื่อควรจะทำ แต่ต้องเป็นการไม่ทำอะไรเมื่อถูกยั่วยุให้ทำสิ่งที่ผิด
แบบนี้จึงจะเกิดบารมี
เกิดผล ทำให้จิตวิญญาณพัฒนา
๔ อุเบกขาแท้กับไม่แท้
ส่งผลอย่างไร?
อุเบกขาแท้จะส่งผลให้เกิด
“มรรคผล” ได้จริง แต่อุเบกขาไม่แท้ย่อมไม่เกิดมรรคผล จริงไหมครับ?
ธรรมแท้ย่อมให้ผลได้จริง ธรรมไม่แท้ย่อมไม่อาจให้ผลได้ ดังนั้น
หลายคนบำเพ็ญอุเบกขาบารมีมากมายแต่ทำไมไม่เกิดผลทางธรรม ไม่เกิดผลอะไรเลย ฝึกอะไรก็ไม่สำเร็จเลย?
เพราะอะไร? แสดงว่าคุณไม่ได้อุเบกขาแท้ แต่ใช้อุเบกขาไม่แท้อยู่ ยกตัวอย่าง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ต้องการช่วยคนแต่พระองค์ถูกรายล้อมด้วยขุนนางที่ดุร้ายมากมายที่พร้อมจะทำสงครามเข่นฆ่ากัน
พระองค์ถูกยั่วยุตลอดเวลาให้ตัดสินใจผิดๆ บีบให้ทำสงครามก็มี
แบบนี้ได้อุเบกขาบารมีไหมครับ? ได้ครับ
เพราะมีจิตเมตตาเกิดก่อนแล้วถูกคนชั่วมากมายบีบคั้นยั่วยุต่างๆ
๕ ทำไมอุเบกขาตั้งนานแต่ไม่เกิดมรรคผล?
ดังที่กล่าวแล้วว่าอุเบกขาบารมีนั้นจะต้องมี
“การยั่วยุในทางที่ไม่ดีด้วย” หากคุณอยู่คนเดียวในที่สงบและไม่มีใครรบกวนเลย
ถามว่าจะมีคนชั่วมายั่วยุให้คุณทำชั่วได้ไหม? ก็ไม่ได้ เมื่อไม่ได้
อุเบกขาบารมีก็ไม่เกิด ไม่ก้าวหน้า เช่นนี้ก็ไม่เกิดมรรคผลทางธรรมอะไร การจะบำเพ็ญอุเบกขาบารมีให้เกิดผลได้
จะต้องอยู่ในจุดที่ “คุณมีหน้าที่และมีจิตเมตตาต่อปวงสัตว์”
แล้วคุณถูกยั่วยุด้วยเหล่าคนชั่วให้ทำสิ่งชั่วร้าย เช่น สงคราม
แต่คุณไม่อยากทำเพราะคุณมีจิตเมตตา เช่นนี้ ก็จะเกิดอุเบกขาบารมีได้
ไม่ว่าพวกเขาจะยั่วยุหรือหลอกให้คุณเป๋ผิดทางอย่างไร คุณก็ไม่เป๋ ไม่ผิดทาง
คุณจะเดินตรงทางตลอด ด้วยอำนาจแห่งอุเบกขาบารมีนั้นเอง
ผู้ที่มีอุเบกขาบารมีจึงไม่ถูกยั่วยุให้เป๋หลงออกนอกทางง่ายๆ
ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น