การรับรองธรรมคืออะไร?
“เราบรรลุแล้วจริงไหม?มีใครรับรองธรรมให้เรา”
นี่คือ คำถามที่คิดว่าหลายๆ คนอาจต้องเจอ แต่หลายคนมักอุปทานตอบกันเองว่า “ไม่จำเป็นต้องมีใครรับรองทั้งนั้น
ฉันเชื่อของฉันอย่างนี้ ใครก็อย่ามายุ่งกับฉัน” อันนี้ ยังใช้ไม่ได้นะครับ ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายให้เข้าใจว่าการรับรองธรรมคืออะไร?
ดังต่อไปนี้
๑ ต้องมีคนมารับรองให้ไหม?
การรับรองธรรมนั้นมิใช่การให้ใครสักคนมาบอกว่าเราสำเร็จธรรมแล้ว
ไม่ใช่นะครับ
แต่หมายความว่าเรามีอะไรรองรับผลของการกระทำอันเนื่องจากธรรมที่เราสำเร็จได้หรือไม่?
เช่น หากเราตรัสรู้ธรรมเอง เราจะไม่มีสังคมธรรมรองรับ ไม่มีพุทธเกษตรรองรับ แต่หากเราบรรลุธรรมใน
“ศาสนธรรม” ของพระพุทธเจ้า ท่านจะมีพุทธเกษตรรองรับให้ การมีพุทธเกษตร
มีวิมานรองรับตรงนี้แหละครับที่เรียกว่า “การรับรองธรรม”
ไม่ใช่การที่มีใครสักคนมากล่าวรับรองให้เราว่าเราบรรลุแล้ว ไม่ใช่นะครับ
การรับรองธรรมก็คือ มีบารมีธรรมที่จะรองรับผลจากการกระทำของเราได้ เช่น
หากมีสาวกติดตามเราตายแล้วไปอยู่ในวิมานเราได้ เราก็มีสาวกได้
๒ ทำไมต้องมีบารมีธรรมรองรับ?
ดังที่กล่าวแล้วว่าหากเรามีบารมีธรรมรองรับผลของการกระทำของเราได้
เราก็จะสามารถทำสิ่งนั้นได้ เช่น การหาสาวก, การโปรดสัตว์, การฉุดช่วยปวงสัตว์
แต่หากเราไม่มี เรามีแต่ปัญญา มีแต่ความรู้ สมมุติเราไปสอนให้ปีศาจได้กลายเป็นเทพ
คุณรู้ไหมจะเกิดอะไร? เขาจะไม่อาจอยู่ร่วมกับญาติของเขาที่เป็นปีศาจเดิมได้อีก
เพราะเขาเคยเป็นปีศาจ มีญาติเป็นปีศาจมานาน อยู่ๆ กำเนิดใหม่กลายเป็นเทพ
อยู่ด้วยกันไม่ได้ละ ถามว่าเขาเป็นเทพก็ไปสวรรค์สิ ไม่ครับ ไม่ง่ายเช่นนั้น
หากเขาไม่มีบุญ สวรรค์ไม่มีตำแหน่งว่าง เขาก็ไม่ได้ไปสวรรค์
เขาจะกลายเป็นเทพที่โดดเดี่ยว เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ไม่มีญาติมิตรเลย นี่จึงต้องมีบารมีธรรมรองรับ
๓ โปรดสัตว์ได้แต่บารมีธรรมไม่พอ?
มีบางท่านที่มีปัญญาดี
โปรดสัตว์ได้ แต่บารมีธรรมไม่พอก็มีนะ เช่น ไม่มีวิมานบนสวรรค์รองรับ
หลังจากที่สาวกตายลง ทุกคนกลายเป็นจิตวิญญาณเร่ร่อนหมดเลย
แต่เพราะเคยธุดงค์อยู่ป่ามา จิตวิญญาณนั้นเลย จรร่อนเร่ในป่าไปเรื่อยๆ ครับ
นี่ก็ไม่ได้ผิดหรือถูกอะไรนะ แต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านไม่เป็นอย่างนี้กัน
ท่านจะมี “บารมีเต็ม” ผลจากการมีบารมีเต็ม ก็จะมีบารมีธรรมรองรับ มีวิมานรองรับ
มีพุทธเกษตรรองรับ เมื่อพระสาวกละสังขารแล้วก็ไปเกิดยังพุทธเกษตรกันครับ
ไม่ใช่เป็นผีเร่ร่อนอยู่ตามป่า ติดค้างในโลกครับ หลวงปู่เทพโลกอุดร คือ
พระอรหันต์สมัยพุทธกาลที่ไม่มีวิมานรองรับ ท่านเร่ร่อนอยู่ในโลกของเรานี้ครับ
๔ เทพมาเตือน
“ใครรับรองธรรมให้ท่าน” ?
บางท่านตรัสรู้เองแต่
“บารมียังไม่เต็ม” ถามว่าได้ไหม? ได้ครับ คนที่มีปัญญามากเขาสำเร็จธรรมหลายชาติ
สำเร็จแล้วสำเร็จอีก แล้วกลับลงมาฉุดช่วยสัตว์ได้อีกบ่อยๆ ไปครับ
ตรงนี้อ่านแล้วเหล่าเถรวาทที่หลงตำราจะเดือดดาลกัน ก็ช่างเขานะ
ผีเฝ้าตำราก็ต้องเฝ้าตำราอย่างนั้นต่อไป ยังไม่อาจหลุดพ้นได้
จะรับฟังอะไรที่แตกต่างจากตำราไม่ได้ กลับมาที่คนที่มีปัญญาโปรดสัตว์ได้แต่
“บารมียังไม่เต็ม” ก่อน หากใจร้อนกลัวผู้อื่นจะชิงตัดหน้าเป็นพระพุทธเจ้าก่อนตน
ก็จะออกโปรดสัตว์ก่อน ชิงหาสาวกก่อน ผลคือ โปรดสัตว์ได้ครับ แต่ไม่มีวิมานอยู่
พุทธเกษตรยังไม่มี สาวกจะต้องตกค้างอยู่ในโลกนี้
เทพจะมาเตือนว่าใครรับรองธรรมให้ท่าน
๕ ทุกอย่างเราต้องรับผิดชอบเองทั้งนั้น
ไม่มีใครเขามารับรองให้เราหรอกครับ
เพราะหากเขารับรองธรรมให้เรา เขาก็ต้องรับผลกรรมจากการรับรองธรรมให้เรานั้นด้วย
เช่น ถ้ารับรองว่าเรามีธรรม เราไปโปรดสัตว์ได้ร้อยตน
สัตว์ร้อยตนตายแล้วไม่มีที่อยู่ เขาก็จะมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรา
เพราะเขาเป็นเช่นนั้นเพราะธรรมของเรา “สุดท้าย เราเองน่ะละ
ที่ต้องรับผลกรรมนั้นเอง” นี่เลยบอกว่าไม่มีใครมารับรองธรรมให้ใครได้หรอก
เราจะต้องมี “บารมีธรรมพอรองรับได้เอง” บารมีเต็มก็รองรับได้
บารมียังไม่เต็มก็เกิดปัญหา พระศรีอาร์ฯ นี่มีบารมีธรรมเต็มแล้ว
แต่บริวารของท่านยังเป็นคนโง่ดื้อด้านอยู่ โปรดไม่ได้
ท่านจะเอาตัวรอดไปก็ทำใจไม่ได้ ต้องกลับมาใหม่เพื่อโปรดบริวารของท่าน
เหตุนี้ “ท่าน” จึงต้องรอพระศรีอาร์ฯ
มาช่วยค้ำศาสนาให้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น