รอบวัฏจักรแห่งการเกิดบนโลก
“สมมุติธรรมย่อมมีการเกิดดับเป็นธรรมดา”
เพราะไม่ใช่วิมุติธรรม และไม่ควรเอามาปนกัน ในเรื่องการเกิดดับนั้นก็เรื่องหนึ่ง
เรื่องนิพพาน เรื่องวิมุติธรรมก็เรื่องหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะกล่าวธรรมระดับใด
ในบทความนี้จะขออธิบายในหัวข้อรอบวัฏจักรในการเกิดบนโลกว่าในการเกิดบนโลกหนึ่งรอบนั้นเป็นอย่างไร
ดังต่อไปนี้
๑ เข้าใจเรื่องการเกิดดับ
อย่างแรก
เรามาปรับความเข้าใจในเรื่อง “การเกิดดับ” ก่อนนะครับ ว่าการเกิดดับนั้นเป็นแค่อาการของสิ่งสมมุติ
และเป็นการอธิบายเฉพาะภาคส่วน “สมมุติธรรม” เท่านั้น
อย่าเอาไปปนกับภาควิมุติธรรมเด็ดขาด เช่น อย่าเอาไปอธิบายเรื่องนิพพานครับ ทีนี้
เมื่อเราพูดเรื่องการเกิดดับ แสดงว่าเราพูดในระดับสมมุติธรรมนะครับ เก็จนะ
และในกระบวนการเกิดดับนั้น “มิใช่ความว่างเปล่าหายสูญ”
หากเข้าใจว่าเป็นเรื่องการดับสูญ ว่างเปล่าหรือไม่มีตัวตน
ก็จะผิดเพี้ยนไปทางลัทธินิรัตตาทันทีครับ แต่จะบอกว่ามีตัวตนแท้ ก็ไม่ได้ครับ
มิฉะนั้นจะเข้าทางลัทธิอาตมันอีก สรุปว่าการเกิดดับนี้เป็นธรรมดาของสิ่งสมมุติ
ไม่ใช่ความว่างเปล่าครับ
๒ รอบวัฏจักรการเกิดดับคืออะไร?
คำนี้ผู้เขียนสมมุติบัญญัติมาเอง
เพื่อใช้อธิบายการเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ ๑ รอบ ยังไง? อย่างนี้
สมมุติว่าเราเป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์บนพุทธเกษตร เราไม่ต้องลงมาเกิดในโลกนี้ก็ได้
แต่ถ้าเราจะลงมาเกิดครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเกิดชาติเดียวแล้วจะกลับคืนสู่พุทธเกษตรได้เลย
แต่เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิด “หลายชาติ” ครบ ๑ รอบวัฏจักรแล้ว
เราก็จะกลับคืนสู่พุทธเกษตรดังเดิมได้ ทีนี้ คำว่าหลายชาติ สมมุติว่า “สิบชาติ”
เหมือนในทศชาติชาดกก็แล้วกัน เริ่มจากชาติแรกจุติลงมาอาจเป็นสัตว์ก่อน
พัฒนาไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นคน, เป็นเทพ, เป็นโพธิสัตว์ ฯลฯ
ไม่ใช่ว่าเราจะได้เกิดเป็นมนุษย์หรือโพธิสัตว์ทุกชาตินะครับ นี่เรียกว่า
“ปางอวตาร”
๓ ปางอวตารหนึ่งรอบวัฏจักร
สมมุติเราลงมาจากพรหมโลก
อวตารลงมาแล้วจะกลับคืนสู่พรหมโลก ใช้เวลาเวียนว่ายตายเกิดทั้งสิ้นสิบชาติ
รวมเรียกว่า “สิบปางอวตาร” เช่น พระนารายณ์สิบปางอวตาร จะต้องอวตารไปเรื่อยๆ
ไม่เหมือนเดิม เพราะทุกครั้งที่เวียนว่ายตายเกิดนั้น ล้วนไม่เที่ยง
ไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้ตลอด แต่ “จิต” นั้นก็คือจิตเดิมนะครับ มีแต่ขันธ์ห้าเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
ไม่มีสิ่งศักดิสิทธิ์องค์ใดที่จะลงมาเกิดยังโลกชาติเดียวแล้วกลับคืนได้ทันทีครับ
ยกเว้นผู้ที่เป็น “เอกพีชี” คือ เกิดชาติเดียวก็จะบรรลุธรรมเลย
ถามว่าทำไมแตกต่างกัน? เพราะหน้าที่ต่างกันครับ คือ
คนที่มีหน้าที่เปื้อนกรรมในโลกน้อย ชาติที่เกิดจะน้อย คนที่มีหน้าที่มาก ชาติจะมาก
๔ อย่าเพิ่งคิดว่าจะได้กลับชาตินี้?
หลายคนไปอุปทานเอาเองว่าเข้าใจนิพพานแล้ว
ชาตินี้ชาติสุดท้ายแล้ว จะได้กลับนิพพานแล้ว บางครั้งก็ยังไม่ได้นะครับ
ดังที่กล่าวว่าจะมีรอบวัฏจักรการเกิดหลายชาติจนกว่าจะครบแล้วพร้อมกลับคืนได้
บางชาติก็เริ่มต้นปรารถนาที่จะคืนกลับแต่ยังไม่ได้ทันทีทันใด
ก็จะมีต่ออีกจนกว่าจะได้กลับครับ กล่าวแบบนี้เพื่อท่านจะได้ไม่ประมาท
อย่าคิดว่านิพพานมันง่ายขนาดนั้น จริงอยู่มันอาจง่ายในการ
“ฟังหรืออ่านเพื่อให้เข้าใจ” แต่ทำจริงๆ เอาตัวเองให้หลุดพ้นจริงๆ เคลียร์ตัวเอง
ชำระบาปกรรมให้หมดจริงๆ ตรงนี้ ก็จะเริ่มยากละครับ คือ
มันไม่ใช่แค่การคิดแล้วได้ดั่งคิดไงครับ มันต้องปฏิบัติ
ต้องทำการเคลียร์ชำระตัวเองด้วย พอเก็จนะครับ
๕ ยิ่งเก่งยิ่งอยู่นาน
ไม่กลับเร็ว
ใครที่เก่งนัก ฤทธิ์ยังเยอะ ยังบ้ารู้ บ้าหาสาวก
อำนาจ ฯลฯ พวกนี้จะยิ่งนานช้า แวะข้างทางก่อน หาสาวกก่อนกลับครับ
ส่วนพวกที่ไม่ไหวละ ไม่เก่ง, ไม่เหลือฤทธิ์, ไม่อะไรกะใครได้อีกแล้ว
พวกนี้ใกล้แล้วครับ ที่จะได้กลับคืน โดยเฉพาะพวกที่ฤทธิ์เดชมากๆ
ทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้นนี่ พวกนี้ได้รับการจัดสรรเป็นพิเศษให้ได้เกิดใน “กลียุค”
เลย ยุคนั้นมนุษย์จะกินเนื้อกันเองได้ โลกไม่ได้น่าอยู่ ไม่สวยงาม มีแต่พวกร้ายๆ
มาเกิดกัน ดังนั้น พระสมณโคดมจึงไม่สอนให้บ้าฤทธิ์บ้าเดช
แต่จะสอนให้ใช้ปัญญาก็พอ หลายคนหลงเข้าใจผิดคิดว่าพวกที่เก่งๆ ฤทธิ์เยอะๆ
จะได้หลุดพ้นเร็วหรือเป็นอรหันต์ของจริง จริงมีน้อย ที่เหลือคือพวก “ไปต่อ” ครับ
คุณอยู่ชาติที่เท่าไรของ ๑
รอบวัฏจักรนี้แล้วละครับ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น