เราไม่ควรกล่าวเรื่องนิพพาน?




ปัจจุบัน “กูรู้” ในอินเตอร์เน็ตมีมากมายเหลือเกิน หลายคนชอบทำตัวเป็นกูรู้ราวกับว่าตรัสรู้ธรรมะแล้วซะอย่างนั้น โดยเฉพาะเรื่องนิพพาน มีหลายคนชอบทำตัวเป็นกูรู้เรื่องนิพพานอย่างมาก ในบทความฉบับนี้ จะขออธิบายเหตุผลว่าทำไมเราไม่ควรเอาเรื่องนิพพานมาพูดเสียเองทั้งที่เราไม่ได้ตรัสรู้แจ้งจริง ดังต่อไปนี้

๑ เรามิได้ตรัสรู้นิพพาน
ผู้ตรัสรู้นิพพานคือพระสมณโคดมมิใช่เราทั้งหลาย เราทั้งหลายนั้นไม่มีใครตรัสรู้นิพพานเองทั้งสิ้น เราได้รู้มาจากการอ่าน, การฟังเอาทั้งนั้น ดังนั้น การที่เรากล่าวเรื่องนิพพานราวกับว่าเราตรัสรู้เองทั้งๆ ที่ไม่ใช่นั้น ย่อมไม่ดีแน่ เพราะเป็นการกล่าวเรื่องที่ตนมิได้ตรัสรู้แจ้งเห็นจริง แม้ว่าเรื่องนิพพานจะเป็นธรรมะที่ดีก็ตาม แต่การสนทนาเรื่องนิพพานก็ไม่ควรเป็นไปในลักษณะที่เหมือนกับว่าเราตรัสรู้นิพพานเสียเอง ทั้งที่จริงไม่ใช่ ใช่ไหมครับ? หากมีใครสักคนอยากรู้เรื่องนิพพาน แล้วมาเจอเราๆ บอกเขาราวกับว่าเราเป็นผู้ตรัสรู้เอง เขาก็เลยไม่ไปหาผู้ตรัสรู้แจ้งจริง นี่ดีไหม? ไม่ดีแน่นอน แม้ว่าภายนอกเราดูเหมือนทำดี พูดเรื่องนิพพานก็ตาม

ศาสดากับเทวทูต
สองอย่างนี้ต้องเข้าใจและแยกแยะให้ออกครับ พระศาสดานั้นเป็นผู้ตรัสรู้แจ้งจริง แต่เทวทูตนั้นไม่ใช่ผู้ตรัสรู้แจ้ง ทว่า เทวทูตก็สามารถช่วยบอกทางแก่คนได้ระดับหนึ่งเช่น ชี้ทางให้ไปหาพระศาสดา เป็นต้น เราทุกคนนั้นมิใช่พระศาสดา และไม่ควรทำตนเป็นศาสดาทั้งที่ไม่ใช่ แต่เราทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจ ยกระดับเป็นเทวทูตได้ การที่เราสนทนาธรรม, พูดธรรมะ, เขียนเรื่องราวธรรมะนั้น ก็คือ หน้าที่ของเทวทูตอย่างหนึ่ง แต่ก็ต้องมีสติรู้ตัว ไม่หลงตัวเอง จนหลงคิดว่าตัวเองเป็นศาสนาใหม่หรือกลายเป็นศาสดาไปเสียเองเช่น เราต้องไม่นิยมให้ใครมารุมล้อมกราบไหว้เรา หากมีสติ ก็ออกมาจากที่นั่นเสีย ไม่ใช่นั่งเพลินให้คนไหว้อย่างไม่มีสติ

๓ กล่าวเฉพาะธรรมที่มีในตน
เมื่อคุณตระหนักรู้ มีสติเท่าทันว่าตัวเองมิใช่ศาสดา มิได้ตรัสรู้นิพพานแล้ว คุณอยากชี้ทางสว่างให้แก่เพื่อนมนุษย์ คุณไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องที่คุณไม่ได้ตรัสรู้เองก็ได้ เช่น นิพพาน คุณไม่ได้ตรัสรู้ก็ไม่ต้องพูด เพราะไม่รู้แจ้งจริงจะพูดไปทำไม? จริงไหมครับ? เราสามารถทำหน้าที่เป็นดั่งเทวทูต ชี้นำทางให้คนไปในทางที่เจริญได้ เช่น ชี้นำทางบอกให้เขาทำสิ่งที่ควรทำแล้วหลุดพ้นไปสู่สวรรค์ เรารู้เท่านี้ นี่คือ “ธรรมในตนของเรา” เราก็พูดไปอย่างที่เรามี เราเป็น เรารู้แจ้งของเราจริงๆ ก็พอ เรื่องสวรรค์เราอาจไม่ได้รู้เห็นด้วยตาทิพย์ แต่เรานั้นอาจรู้และเข้าใจในอีกแบบ แบบของเราก็ได้ เช่น เข้าใจว่าสวรรค์คือ ความสุขสบายใจจากการหลุดพ้นโลก

๔ ธรรมะมีมากมาย นิพพานไม่จำเป็น?
ไม่จำเป็นต้องกล่าวแต่เรื่องนิพพานก็ได้ครับ แม้นิพพานจะเป็นธรรมะสูงสุดก็ตาม เราพูดเรื่องง่ายๆ ที่ใช้ได้จริง ณ ปัจจุบันก็ได้ เช่น ถ้าลูกเราเกียจคร้านการงาน ไม่รับผิดชอบ เราพูดเรื่องความขยันหมั่นเพียร ก็ได้ใช่มั้ย? ไม่จำเป็นเลยว่าต้องเอาเรื่องนิพพานมายัดเยียดให้ลูกที่ขาดความขยันหมั่นเพียร แม้ว่านิพพานนั้นจะดีแค่ไหน? สูงส่งเท่าไร? แต่หากคนฟังเขาไม่อยู่ในฐานะที่พร้อมจะรับฟังได้ บางคนแค่เรื่องทานยังทำไม่เป็นเลย ยังทำบุญเอาบุญอยู่เลย ใจยังไม่มีความสละออกเป็นทานบารมีได้แท้จริงเลย แบบนี้จะพูดนิพพานไปทำไม? ป่วยการเปล่า จริงไหมครับ ทั้งนี้ ไม่ได้ห้ามพูดเรื่องนิพพานนะ แต่ให้ดู “กาลเทศะ” ไม่ใช่อวดโชว์

๕ ไม่ต้องอวดโชว์ว่ามีภูมิธรรมสูง
หลายคนชอบพูดธรรมะสูง เพื่อที่จะอวดโชว์ว่าตนมีภูมิธรรมสูงทั้งที่อาจจะมีจริงหรือไม่ก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องนิพพาน เมื่อผู้ใดกล่าวออกมาแล้วก็จะภูมิใจว่าตนเองรู้มาก รู้เรื่องนิพพานด้วย มีภูมิธรรมสูงส่งกว่าใครๆ นี่ ปัจจุบันมีแบบนี้เยอะ คนที่มีภูมิธรรมสูงจริงๆ นั้น อาจไม่ได้พูดธรรมะสูงส่งอะไรเลย ก็ได้ หากผู้ฟังไม่อยู่ในฐานะที่จะฟังสิ่งนั้น เพราะมันไม่ใช่กาลเทศะที่จะต้องอวดโชว์ภูมิธรรมสูงๆ บางคนยิ่งกว่านี้ ชอบพูดอะไรที่กำกวม ให้คนไม่เข้าใจ สับสน และอาจไม่มีแก่นสารสัจธรรมอะไรแท้จริงเลย เหมือนการเล่นปาหี่โชว์หลอกให้คนงุนงง แล้วทำให้เข้าใจผิดว่าตนมีธรรมมาก เช่น การใช้ภาษาชั้นสูง, การเล่นคำกลับกลอกย้อนแย้ง
                                                                                        
เรื่องนิพพานไม่จำเป็นต้องพูด ทำให้ได้เลย จะดีกว่าครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?