โลกแห่งความบริบูรณ์ด้วยความไม่สมบูรณ์
ในบทความก่อนๆ
ได้อธิบายเรื่องราวของโลกนี้ไปมากแล้ว ในบทความฉบับนี้ จะขออธิบายโลกที่เราอยู่นี้
ในมุมมองที่แตกต่างไปบ้าง แต่แก่นแท้ยังคงเหมือนเดิมดุจเดียวกันคือ
“ความไม่เที่ยง, ไม่ใช่ตัวตนของตน” เพื่อที่จะทำความเข้าใจโลกของเรา
มองโลกในมุมที่แตกต่างออกไป เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ขาดความไม่สมบูรณ์
โลกก็ไม่บริบูรณ์
หากโลกนี้ขาดความไม่สมบูรณ์
ทุกอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีก เพราะหากมันเปลี่ยนแปลงไปจากความสมบูรณ์
มันก็จะไม่สมบูรณ์อีก ดังนั้น หากโลกมีแต่ความสมบูรณ์ทุกอย่างก็จะนิ่งไปหมด
เหมือนถูกสาปให้เป็นหินหรือภาพวาดฉะนั้น ซึ่ง “มันเป็นไปไม่ได้”
และเพื่อให้โลกเป็นไปได้อย่างที่มันควรจะเป็น โลกจึงต้องมี
“ความไม่สมบูรณ์” อยู่เสมอ เพื่อให้เกิด “ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่ไม่สิ้นสุด” นั้น
และเพราะเหตุนั้น โลกจึงเคลื่อนไปข้างหน้าได้
ไม่นิ่งสนิทอยู่กับความสมบูรณ์แบบนั่นเอง สิ่งเหล่านี้เรียกว่า
“ความบริบูรณ์พร้อมของโลก” คือ ความบริบูรณ์ไปด้วยความไม่สมบูรณ์ อันก่อให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ
๒ หน้าที่ของมนุษย์กับความไม่สมบูรณ์
เมื่อเราได้ตระหนักรู้แล้วว่า
“โลกนี้บริบูรณ์ เต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ” ดังนั้น
เราจะต้องยอมรับให้ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้
และมันไม่สมบูรณ์แบบ เมื่อมันไม่สมบูรณ์แบบ มนุษย์จะยอมรับใน “แบบที่ไม่สมบูรณ์”
ไม่ได้ แต่เรายอมรับ “ความไม่สมบูรณ์” ได้ เข้าใจไหม คือ
เรายอมรับว่าโลกนี้มันไม่สมบูรณ์ เรายอมรับในความไม่สมบูรณ์ แต่เราจะไปยอมรับแบบที่ไม่สมบูรณ์ไม่ได้
หากมนุษย์เรายอมรับใน “แบบที่ไม่สมบูรณ์” เท่ากับเรายอมรับว่าแบบนั้นๆ
มันสมบูรณ์แล้วเมื่อเรายอมรับว่าแบบนั้นๆ สมบูรณ์แล้ว เท่ากับเราไม่ยอมรับใน
“ความไม่สมบูรณ์ของโลก” ดังนั้น เราจะต้องไม่ยอมรับแบบที่ไม่สมบูรณ์เหล่านั้น
๓ ทำอย่างไรกับแบบที่ไม่สมบูรณ์?
หน้าที่ของมนุษย์คือ
“สร้างสรรค์งานศิลปะ” ในเมื่อทุกสิ่งอย่างที่มาจากธรรมชาติเป็น “แบบที่ไม่สมบูรณ์”
และ “เราไม่ยอมรับมัน” เราก็จะต้อง “ออกแบบมัน” เอง นั่นคือ
จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์งานศิลปะโดยมนุษย์ จริงไหม? ถ้าเรายอมรับทุกอย่างในฐานะที่มันเป็นแบบที่ไม่สมบูรณ์เสียแล้ว
เท่ากับเราไม่ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของมัน ดังนั้น เราจะต้องออกแบบมันเสียใหม่
ทำมันเสียใหม่ด้วยมือของเราเอง “นี่คือ ศิลปะ” มนุษย์มีหน้าที่สร้างสรรค์งานศิลปะกับทุกๆ
สิ่งในโลก “รวมทั้งโลกด้วย”
เราสามารถสร้างโลกได้แต่มิใช่ในฐานะเดียวกับพระเจ้ากระทำ เรากระทำในฐานะมนุษย์
และโลกที่เราสร้างก็เป็นแค่ “งานศิลปะ”
๔ ผู้มีปัญญาทำอะไรกับโลก?
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อบรรลุธรรมมีปัญญาแล้วจะกลายเป็นท่อนไม้
ท่อนซุง เหมือนพระพุทธรูปให้คนมากราบไหว้ ไม่ใช่นะครับ
อย่าเอาภาพหลอนจากการเห็นคนกราบไหว้พระพุทธรูปมาตีค่าการบรรลุธรรมของมนุษย์ ผู้มีปัญญาไม่ใช่พระพุทธรูป
หากแต่เป็น “มนุษย์ที่สมบูรณ์” เมื่อมีความเป็นมนุษย์
จะนั่งบื้อใบ้ให้คนกราบไหว้เหมือนท่อนไม้ท่อนซุงได้อย่างไร? ก็จะต้องมี
“การกระทำชอบ” สิครับ การกระทำชอบของมนุษย์ก็คือ “การสร้างสรรค์ศิลปะ” นั่นเอง การสร้างสรรค์งานศิลปะนี้หมายรวมทั้งการสร้างโลกในแบบที่เราอยากให้เป็นด้วย
มนุษย์มีอิสระที่อยากจะสร้างโลก เพราะเราล้วนมีขีดจำกัดในความเป็นมนุษย์อยู่แล้ว
๕ ศิลปะที่บริบูรณ์แห่งความไม่สมบูรณ์
เมื่อโลกนี้บริบูรณ์ด้วยความไม่สมบูรณ์
มนุษย์จึงมี
“ความไม่สมบูรณ์” เป็นวัสดุในการสร้างสรรค์งานศิลปะอย่างไม่มีที่สิ้นสุด,
เหลือเฟือและมั่งคั่งร่ำรวย หากโลกนี้สมบูรณ์แบบแล้ว
มันก็จะไม่เหลือความไม่สมบูรณ์แบบนี้อีก และงานศิลปะทั้งหลายก็ต้องสิ้นสุดลง
มนุษย์จะไม่ได้ออกแบบ “ผลงานใหม่ๆ” อีกเลย หากเรามีความสมบูรณ์แล้ว
ยอมรับทุกอย่างว่าสมบูรณ์แล้ว เราจะไม่ทำอะไรใหม่ๆ เลย เราจะอยู่เหมือนซังกะตายไปวันๆ
เราจะเป็นคนที่ขาดความคิดสร้างสรรค์ และไม่ได้ใช้ปัญญาในการสร้างสรรค์สิ่งใดเลย
นั่นมิใช่วิถีของผู้มีปัญญาแต่อย่างใด สุดท้าย ก็จะอยู่ในโลกนี้อย่างไร้ศิลปะ
ชีวิตที่ไร้ศิลปะนั้น ย่อมขาดสีสันโดยแท้
ผู้มีปัญญาย่อมใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะเพื่อสร้างสรรค์โลกในแบบที่ต้องการ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น