จิตวิญญาณเหมือนดั่งผลไม้?




ในบทความก่อนได้กล่าวว่าเราอาจสูญเสียจิตวิญญาณได้ จิตวิญญาณไม่อาจยึดมั่นถือมั่น หากยึดมั่นถือมั่นจิตวิญญาณเป็นตัวตนของตนก็จะกลายเป็นลัทธิ “อาตมัน” ไป ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความต่อว่า “จิตวิญญาณ” ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้นั้นมีลักษณะอย่างไร อุปมาได้เหมือนผลไม้อย่างไร? ดังต่อไปนี้

๑ ลัทธินิรัตตาและลัทธิอาตมัน
พระสมณโคดมสอนเรื่องอนิจจัง, อนัตตา ดังคำกล่าวว่า “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ธรรมทั้งหลายมิใช่ตัวตนของตน จะบอกว่าไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างว่างเปล่า แล้วจะฆ่าใครก็ได้เพราะเห็นเป็นความว่าง เช่นนั้นก็มิใช่ แต่จะบอกว่ามีตัวตนแท้ ยึดมั่นถือมั่นได้ เช่น จิตวิญญาณ เป็นต้น นั่นก็ไม่ถูก แนวคิดที่มองทุกอย่างไม่มีตัวตน ว่างเปล่าหมดคือ “ลัทธินิรัตตา” ส่วนพวกที่สุดโต่งไปอีกทาง ยึดจิตวิญญาณเป็นตัวตนแท้ คือ ลัทธิอาตมันครับ สองลัทธินี้ไม่ใช่ทางของพุทธ แต่หลายท่านมักเผลอหลงเข้าไปบ่อยๆ เพราะพุทธเรามิได้สอนว่าทุกอย่างว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย หรือมีตัวตนแท้เช่นอาตมันจะยึดได้ แต่สอนว่าธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงครับ

แม้แต่จิตวิญญาณก็ยึดไม่ได้?
ใช่ครับ พระสมณโคดมได้สอนเรื่องอนิจจัง อนัตตาไว้ชัดเจน ธรรมทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง แม้แต่จิตวิญญาณเราก็ไม่เที่ยง ไม่อาจยึดเป็นตัวตนของตนได้ จิตวิญญาณไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตนที่จะยึดได้ จิตวิญญาณที่ดีในกายของเราอาจจะจากเราก็ได้ ดังนั้น คนเราสามารถสูญเสียจิตวิญญาณในร่างได้ครับ ไม่เว้นแม้แต่ “จิตพุทธะ” บางคนยึดมั่นถือมั่นจิตพุทธะมาก และหลงตัวเองว่าตนเองมีจิตพุทธะแล้ว แบบนั้นก็หลงยึดเอาจิตพุทธะเป็นตัวตนของตน เข้าทางลัทธิอาตมันนั่นเอง นั่นไม่ใช่คำสอนพุทธเรานะครับ เอาละ ทีนี้ เมื่อคุณรู้แล้วว่าจิตวิญญาณไม่เที่ยง ไม่อาจยึดได้ ก็ต้องทราบต่อว่าเราอาจสูญเสียจิตวิญญาณๆ อาจจรจากร่างได้

๓ อุปมาจิตวิญญาณดั่งผลไม้
แท้แล้วตัวตนของตนไม่มีจริง แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่า ไม่ใช่นะครับ เรามิอาจยึดมั่นว่าตัวเราคือจิตวิญญาณหรือร่างกาย ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายล้วนเป็นเพียง “เหตุปัจจัย” ที่เข้ามาร่วมปรุงประกอบเป็น “เรา” เท่านั้นเอง จะขออุปมาจิตวิญญาณเหมือน “ผลไม้” เมื่อสุกงอมเต็มที่ เช่น บรรลุพุทธะแล้ว ก็พร้อมที่จะหลุดออกจากต้นได้ จิตวิญญาณสามารถจรจากร่างเราไปดั่งผลไม้สุกที่หลุดจากต้นได้ แม้ผลไม้ยังไม่สุกก็อาจถูกคนสอยเอาไปกินได้เช่นกัน แล้วร่างกายละเปรียบเหมือนอะไร “ร่างกายเปรียบเหมือนต้นไม้” ครับ เมื่อต้นไม้แข็งแรงดี มีอินทรีย์ห้าพร้อมสมบูรณ์ จิตวิญญาณก็พร้อมสุกงอมบรรลุธรรมได้ “หลายครั้ง” ครับ

๔ บำเพ็ญกายหรือบำเพ็ญจิต?
หลักของโยคะอันเป็นพื้นฐานของพุทธศาสนา ที่แม้แต่พระสมณโคดมก็ยังต้องไปปฏิบัติพราหมณ์ก่อนนั้น มีอยู่ว่าสมาธิคือการหลอมรวมกายและจิต การปฏิบัติแบบส่วนใดส่วนเดียวนั้นไม่ใช่โยคะ เช่น หากเราเน้นแต่จิต ทำให้จิตสูงส่ง สุกงอมเป็นพุทธะได้ เราก็อาจสูญเสียจิตวิญญาณพุทธะไปได้ ดั่งผลไม้สุกร่วงจากต้น ฉะนั้น อย่าไปยึดว่าจิตพุทธะต้องเป็นตัวกูของกูตลอดไปครับ เหตุนี้เราต้องบำเพ็ญกายและจิตพร้อมกันไป เมื่อกายมีอินทรีย์ห้าแข็งแรงสมบูรณ์ก็เหมือนต้นไม้ที่เติบใหญ่แข็งแรง แม้ให้ผลสุกร่วงไปแล้ว ก็เกิดผลใหม่ได้เสมอ จิตวิญญาณที่สุกงอมหากจรจากร่างเราไปแล้ว เมื่อมีจิตวิญญาณใหม่มาเราก็ปฏิบัติให้ผลใหม่ได้

๕ การฟื้นคืนจิตญาณเดิมแท้
คำนี้ หลายท่านคงได้ยินกันบ่อยๆ แล้ว ทว่า มันมีความคลาดเคลื่อนนิดหน่อยครับ กล่าวคือ เราไม่อาจเอาจิตวิญญาณเดิมแท้ของเราคืนมาอยู่กับเราได้ตลอดไป ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าเราไม่อาจยึดจิตวิญญาณเป็นตัวกูของกูได้ เมื่อเราสูญเสียจิตวิญญาณเดิมแท้ไปแล้ว เราอาจได้จิตวิญญาณใหม่มาแทนที่ เราก็ต้องก้าวต่อไปข้างหน้า ปฏิบัติธรรมใหม่ต่อไป เรียกว่า “การฟื้นคืนจิตญาณ” แม้ไม่ใช่จิตวิญญาณเดิมแท้ก็ไม่เป็นไร อย่าไปยึดมั่นถือมั่นตรงนั้นครับ เมื่อเราสำเร็จได้ครั้งแรก เราก็สามารถสำเร็จครั้งต่อๆ ไปใหม่อีกได้มากมาย ดังนั้น แม้เราจะสูญเสียจิตวิญญาณที่ดีไปจากร่างของเราด้วยความไม่เที่ยง นั่นก็มิใช่ปัญหาแต่ประการใด
                                                                                        
เพียงยัง “ความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” ย่อมไม่ต้องกลัวอะไรครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?