ความเพียรชอบที่หลายคนเข้าใจผิด?




หลายคนมักเอา “ความคิดทางโลก” มาปนกับทางธรรม เช่น ความคิดเห็นในเรื่องความเพียร หลายคนก็คิดว่าเข้าใจดีแล้วว่าอะไรคือความเพียร และคิดว่าเข้าใจแล้วว่าอะไรคือ “สัมมาวายามะ” ? ทว่า ความจริงแล้วเขาเข้าใจผิด เพราะยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมจนได้มรรคผล ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องสัมมาวายามะ ดังนี้

เริ่มต้นจากสัมมาทิฐิให้ได้ก่อน
ในมรรคมีองค์แปดนั้นมีสัมมาทิฐิเป็นประการแรกเพราะอะไร? เพราะก่อนที่คุณจะก้าวไปสู่การทำอะไรก็ดี คุณจะต้องมี “ความเห็นชอบ” คิดเห็นตรงทาง ตรงความจริงให้ได้ก่อน หากยังไม่มีสัมมาทิฐิ สิ่งที่ทำลงไปก็ไม่ตรงทาง ต่อให้เดินไกลแค่ไหน? พยายามเท่าไร? มันก็ไม่สำเร็จยังเป้าหมายได้สักที จริงไหมครับ? เพราะเริ่มต้นมันไม่ตรงทางแต่แรก เอาละ ก่อนอื่นคุณต้องมาปรับความเข้าใจให้ตรงเรื่องความเพียรชอบก่อนครับ ว่ามันคืออะไร คนทางโลกที่ขยันกันอยู่นั้นมีสัมมาวายามะไหม? ไม่มีหรอก ถ้ามีแล้วก็ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้ามาโปรดอีกจริงไหม? เพราะยังไม่มีใครตรัสรู้ ก็เลยต้องมีผู้มาโปรดชี้ทางให้ เพื่อให้เริ่มต้นตรงทางได้แท้จริง

๒ สัมมาวายามะคืออะไร?
สัมมาวายะมะหรือ “ความเพียรชอบ” คือ ความเพียรที่พอดี ถูกต้อง ตรงทาง ถามว่าหากเราเพียรทำชั่วจะมีความเพียรชอบได้ไหม? คำตอบคือไม่ได้ เพราะไม่ถูกต้อง ไม่ตรงทาง ไม่ชอบด้วยธรรม ดังนั้น ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะขยันๆ แล้วบอกว่าเรามีสัมมาวายามะแล้ว ไม่ใช่ครับ เราต้องปรับความคิดเห็นให้ตรงก่อน ดังที่ว่า ต้องเริ่มต้นจากสัมมาทิฐิให้ได้ก่อน เมื่อความคิดเห็นตรงทางแล้ว มรรคแปดตัวอื่น ก็จะตามมาได้ ทีนี้คำว่า ความเพียรชอบคืออะไร? ก็คือ ความเพียรที่นำเราไปสู่ความหลุดพ้น ตรงทางไม่หลงไปทางอื่น ดังนั้น คนที่ทำงานหาเงินด้วยความโลภ ถามว่ามีความเพียรชอบไหม? ตอบได้เลยว่า “ไม่มี” เพราะไม่ตรงทางหลุดพ้น

๓ พระไม่ทำงานมีความเพียรชอบไหม?
แม้ว่าพระจะไม่ทำงานก็มีความเพียรชอบได้ครับหากท่านมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น ส่วนฆราวาสนั้นหากขยันมากมาย แต่เต็มไปด้วยความละโมบ ไม่มีจิตตรงทางความหลุดพ้นเลย ถามว่าจะมีความเพียรชอบได้ไหม? ตอบได้ง่ายๆ เลยว่าไม่มี ทางโลกกับทางธรรมนั้นต่างกัน ทางโลกเชื่อว่าคนขยันก็คือ คนที่ก่อกรรมได้มากๆ มีผลงานการสร้างกรรมเยอะ แต่ทางธรรมนั้นคนที่ขยันอาจขยัน “ละเว้นกรรม” ก็ได้ เมื่อเขาละเว้นกรรมได้มากก็มีการกระทำน้อย ชาวโลกไม่เข้าใจก็จะปรามาสว่าเป็นคนขี้เกียจไปได้ หากไม่มีความเข้าใจในพุทธศาสนาก็จะไม่เข้าใจความเพียรของพระ เห็นพระไม่ทำงานก็บอกว่าพระขี้เกียจได้
                     
๔ ความเพียรชอบในฆราวาส
ฆราวาสสามารถมีความเพียรชอบได้ หากมีความเพียรในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ตรงทางแบบนี้ไม่มีเป๋ไปทางอื่น คนที่ไม่เข้าใจธรรมะ ไม่เข้าใจพุทธศาสนาก็จะมองว่า “ขี้เกียจ” เช่น ความเพียรในการละเว้นที่จะทำกรรม ยิ่งเพียรละเว้นการทำกรรมมากก็ยิ่งมีการกระทำกรรมออกไปน้อย คนก็ยิ่งมองว่าเราขี้เกียจครับ เห็นไหม “สายตาของทางโลกกับทางธรรมนั้นต่างกัน” จะเอาความคิดของทางโลกมาตีค่า ตีความหมายใน ทางธรรม ไม่ได้ มนุษย์เรานั้นไม่มีใครขี้เกียจหรอกครับ คนที่คิดว่ามนุษย์ขี้เกียจคือ “ซาตาน” ซาตานนั้น จะบีบให้มนุษย์ทำงานให้แก่ตนมากๆ รับใช้ตนเยอะๆ (เมื่อไม่ได้ตามใจจะมองว่ามนุษย์ขี้เกียจต้องใช้เงินจ้าง)

๕ ความขยันในระบบซาตาน
ความเพียรที่ไม่ใช่สัมมาวายามะ คือ ความเพียรที่ไม่ทำให้หลุดพ้น ตรงข้ามยิ่งจะเกิดกรรมทำให้ไม่หลุดพ้นไปใหญ่นั้นมีอยู่ ในโลกของเรานั้นมีระบบซาตานอยู่เหมือนกรงที่ขังมนุษย์ ต้อนมนุษย์เข้าไปสู่กรงเหล่านั้น แล้วสอนมนุษย์ว่า “พวกเจ้าคือคนขี้เกียจที่ไม่ยอมทำงานตามที่ข้าต้องการ” ทั้งที่มนุษย์นั้นมีเจตจำนงเสรีที่จะทำงานหรือไม่ทำงานก็ได้ การที่มนุษย์ไม่ทำงานอย่างใดก็ช่าง ไม่ได้แปลว่าเขาขี้เกียจ แต่มันแสดงว่าเขามีอิสระและเลือกที่จะ “ไม่ทำ” เองต่างหาก หากมนุษย์ไร้อิสรภาพแล้ว ไม่อาจเลือกที่จะไม่ทำ ได้แล้ว เขาก็จะเข้าสู่ระบบซาตาน ทำงานงกๆ ไปวันๆ ดูเปลือกนอกขยันมากมาย ทว่า ก็ไม่ช่วยให้หลุดพ้นอะไรได้เลย

ความเพียรชอบทำให้หลุดพ้นจากความเพียรจมไม่เสียเวลาครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?