สัมมาอาชีวะไม่ใช่อาชีพ?
สัมมาอาชีวะมักถูกแปลว่า
“อาชีพชอบ” แต่แท้แล้วมันไม่ใช่อาชีพแบบปุถุชนเข้าใจครับ เช่น การเป็นพระคืออาชีพหรือเปล่า?
ก็ไม่ใช่ แต่พระมีสัมมาอาชีวะได้ ส่วนฆราวาสที่มีอาชีพหลายคนกลับไม่มีสัมมาอาชีวะ ในบทความนี้จะขออธิบายว่าทำไมกล่าวว่าพระมีสัมมาอาชีวะแต่คนที่มีอาชีพกลับไม่มีสัมมาอาชีวะ
ดังนี้
๑ การดำรงอยู่ด้วยสัมมาอาชีวะ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมีอาชีพครับ
หลายคนเข้าใจผิดตรงนี้มากเพราะคำแปลที่ว่า “อาชีพชอบ” แต่หากลองพิจารณาดูดีๆ
พระนั้นมีมรรคมีองค์แปด พระพุทธเจ้าก็มี ดังนี้
ท่านมีสัมมาอาชีวะได้โดยที่ไร้อาชีพ จริงไหม? ส่วนคนที่มีอาชีพทางโลกแต่ไม่เคยปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาจนได้มรรคผลนั้น
อยู่ๆ จะบอกว่ามีมรรคแปด มีสัมมาอาชีวะ ไม่ได้หรอก “เพราะเขายังไม่ได้มรรคผล”
ไม่มีมรรคแปดและผลสี่ทั้งนั้น เหตุนี้ จึงกล่าวว่าพระมีสัมมาอาชีวะได้
(หากสำเร็จมรรคผล) แต่ฆราวาสทั่วไปที่มีอาชีพกลับไม่อาจมี
สัมมาอาชีวะ ทีนี้ พอเข้าใจนะครับ ต่อไปเราจะมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า
“สัมมาอาชีวะ” ให้ตรง กันใหม่
๒ ต้องมีสัมมากัมมันตะก่อน
บทความก่อนได้อธิบายเรื่องสัมมากัมมันตะหรือ
“การกระทำชอบ” ไปแล้ว สรุปว่า คือ การกระทำที่พอดีในที่นี้คือ “พอดีกับสิ่งที่เราเป็น”
เช่น ถ้าเราเป็นมนุษย์จะทำอะไรเกินมนุษย์ไม่ได้ จะทำงานการเมืองจริงๆ จังๆ ไม่ได้
แต่ทำแบบ “แสดงละครเอาตัวรอดไปวันๆ” อันนี้พอได้ เพราะอะไร? เพราะมนุษย์ไม่ใช่เทพ
เทพนั้นจะทำอะไรจริงๆ จังๆ ได้ แต่มนุษย์ทำอะไรจริงๆ จังๆ แล้วกระทบกับโลกมาก
ก็จะได้รับกรรมมากเกินขอบเขตก็ไม่เรียกว่า “การกระทำที่พอดี” ก็จะไม่ใช่สัมมากัมมันตะ
จริงไหมครับ? ดังนั้น มนุษย์เราจะไปทำอะไรเกิด ผลกระทบกับโลกมากไม่ได้
เราไม่ใช่เทพ เราทำได้ในกรอบขอบเขตของเรา จะทำแบบเป็นอาชีพมากไม่ได้
๓ อาชีพทำให้เกิดกรรมมากไป?
จริงครับ
ยกตัวอย่างเช่น อาชีพเกษตรกร เดี๋ยวนี้ต้องใช้ยาฆ่าแมลงมากมายคร่าผลาญสรรพชีวิต
ไม่เท่านั้น ยังก่อให้เกิดผลกระทบเชิงซ้อนที่มองไม่เห็นต่อโลกอีกมากมาย ดังนั้น
แม้แต่อาชีพเกษตรกรพื้นๆ ก็มีกรรมที่มากเกินขอบเขตแล้ว จะบอกว่าอาชีพชาวนาพื้นๆ เป็นสัมมาอาชีวะไม่ได้
ดังนั้น มนุษย์เราจะทำกรรมได้แค่ “ศิลปะ” แค่นี้ครับ แสดงละครสวมหัวโขน
บทบาทนั้นนี้เอาตัวรอดไปวันๆ แบบนี้ทำได้ แบบนี้ไม่มากเกินไป เพราะเราไม่ใช่เทพ
เราจะทำอะไรกับโลกนี้มากไม่ได้ ทว่า ปัจจุบัน “ความละโมบในเงินและรายได้”
ทำให้มีคนมากมายเข้าสู่อาชีพการงานเพื่อแลกเงิน พวกเขายอมทำกรรมสะสมมากเกินขอบเขต
ไม่มีสัมมาอาชีวะ
๔ สัมมาอาชีวะกับงานศิลปะ
สัมมาอาชีวะหรืออาชีพชอบที่พอดี
ไม่มีกรรมมากเกินไปสำหรับมนุษย์นั้นยกตัวอย่างเช่น “งานศิลปะ” ครับ แต่ต้องเป็นงานศิลปะที่ไม่ใช่อาชีพนะ
ไม่ได้ทำจริงๆ จังๆ เจตนาทำกรรมหนักยาวนานสะสมมากไป เพื่อให้มีรายได้
มีเงินอะไรแบบนั้น หากทำเป็นอาชีพก็จะไม่เป็นสัมมาอาชีวะเพราะมีกรรมสะสมมากเกินไปนั่นเอง
แต่สำหรับเทพ, เทวทูตนั้น สามารถทำได้มากกว่ามนุษย์ ดังนั้น
คำว่าสัมมาอาชีวะของเทพและเทวทูต ย่อมมีขอบเขตกว้างกว่ามนุษย์
ทำกิจได้มากกว่ามนุษย์ เกิดผลกระทบต่อโลกได้มากกว่ามนุษย์ เพราะเทพไม่ได้ทำตามอำเภอใจแต่ทำตามบัญชาสวรรค์
ถูกสั่งใช้มาเท่านั้นเอง สัมมาอาชีวะของเทพกับมนุษย์จึงต่างกัน
๕ สัมมาอาชีวะของมนุษย์เทพ
“มนุษย์เทพ”
ในที่นี้ หมาย คนที่มีกายเป็นมนุษย์แต่มีจิตวิญญาณสูงกว่านั้น เช่น เป็นเทพ เป็นต้น
ดังนั้น ก็จะสามารถทำอะไรที่กว้างกว่าศิลปะได้ ทำกิจกระทบกับโลกได้
“โดยอยู่ภายในการทำตามคำสั่งสวรรค์” ฮะ ดังนั้น คนในโลกจึงทำได้ไม่เท่ากัน
บางคนไม่อาจทำอะไรกระทบโลกได้มากนัก แต่บางคนกลับทำได้มากก็มี
มนุษย์สามารถมีสัมมาอาชีวะได้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือมนุษย์เทพ หากมีการกระทำเป็นอาชีพที่อยู่ในกรอบขอบเขตดังกล่าว
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ทุกคนที่ทำงานอยู่ทางโลก
มีอาชีพที่ก่อกรรมที่กระทบกับโลกมากเหล่านี้จะได้สัมมาอาชีวะทุกคนนะครับ ต้องมาปฏิบัติธรรมจนเกิด
“มรรคผล” ก่อนครับ
สัมมาอาชีวะเป็นมรรคแปดที่ต้องผ่านการปฏิบัติให้ได้ผลก่อน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น