อาการแห่งผู้บรรลุธรรม




หลายท่านชอบปฏิบัติธรรมเอง และหลายคนไม่มีครู ไม่ได้ต่อสายธรรมอย่างถูกต้อง อาศัยอ่านเอา ฟังเอา จากสื่อ จากอินเตอร์เน็ตแล้ว “ชอบอุปทานกันไปเอง” โดยมากว่าฉันสำเร็จแบบนี้ๆ โดยที่ไม่เคยได้ผ่านการทดสอบจากผู้รู้แจ้งเห็นจริงเลย ในบทความนี้ จะขออธิบายเรื่องอาการของผู้บรรลุธรรม ดังต่อไปนี้ครับ
  
๑ มิใช่ความคิดหรือความรู้สึก
เมื่อบรรลุธรรมนั้นความคิดก็ไม่ใช่ ความรู้สึกก็ไม่ใช่ มันเหมือนว่างเล่าจากความคิดและความรู้สึกปหมด ทว่า แม้ความรู้สึกว่าว่างเปล่านี้ก็มิใช่การบรรลุธรรม คนที่บรรลุธรรมนั้นจะดูที่ความคิดหรือความรู้สึกไม่ได้ แต่จะสังเกตุได้จาก “อาการ” ครับ เหมือนคนจะตาย มันจะมีอาการแสดงออกมาตามธรรมชาติ มันไม่ต้องมาคิดว่าฉันจะตายแล้วนะ หรือรู้สึกว่าฉันจะตายแล้ว ไม่ใช่เลย แต่อาการมันออก อาการมันฟ้อง ไม่ว่าเราจะคิดหรือไม่คิด, รู้สึกหรือไม่รู้สึก แต่อาการมันฟ้องตามธรรมชาติ อันนี้โกหกกันไม่ได้เพราะมันคือธรรมชาติของคนจะตาย ย่อมมีอาการต่างๆ ให้เห็นบ้างเป็นธรรมดา คนที่บรรลุธรรมก็เช่นกัน ต้องดูที่ “อาการ” ครับ

อาการบรรลุธรรม บอกไม่ได้
บอกแล้วจะเกิดอุปทานทันที จะต้องมีคนมาเสนอหน้าบอกว่า “หนูเป็นอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ” ทันที นี่แหละ คนติดชินกับตัวกูของกู ได้ยินได้ฟังอะไรมาก็จะเอามาเป็นตัวกูของกูหมด ดังนั้น เลยบอกไม่ได้ บอกแล้วจะเกิดอุปทานกัน แต่ถามว่าอาการบรรลุธรรมมันมีไหม? ตรวจวัดกันได้ไหม? มีแน่นอน และพระอรหันต์ทั้งหลายก็ดูกันออก เพราะเคยเป็น เคยผ่านอาการเหล่านั้นกันมาแล้ว เมื่อมีใครสักคนเป็นแบบเรา เราก็รู้ได้ครับว่านี่เริ่มออกอาการ จะไปละ พระอรหันต์จึดูกันออก บางคนมีอาการเหมือนจะตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ รอมร่อก็มีนะ แต่ยุคนี้ยังไม่ใช่ยุคของพระปัจเจกฯ เขาก็ต้องหาวิธีทำให้ไม่สำเร็จธรรมกัน เอากรรมมาขวางเป็นต้น

อาการของจิต มิใช่สมองคิด
เมื่อใครสักคนบรรลุธรรม เขาจะเกิดอาการตามธรรมชาติ อันมิใช่เรื่องของสมองคิดหรือการรู้สึกอะไรทั้งนั้น ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเหมือนพระอิฐพระปูนที่ไร้ความรู้สึกนึกคิดอะไรนะเราก็มีทุกอย่างดังเดิมนี่ละ แต่ทุกอย่างเหล่านั้นล้วนมิใช่เรื่องของการบรรลุธรรม มิใช่อาการที่บ่งบอกว่ากำลังได้ญาณใดๆ ทั้งสิบกว่าญาณเลย เพราะอาการตามธรรมชาติของจิต ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในนั้น มิใช่เรื่องความคิดความรู้สึกอะไรดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น การบรรลุธรรมนั้นเราไม่ได้ดูที่คำพูด ใครพูดธรรมะเก่งก็ช่างเขา ใครมีความคิดเลิศเลอก็ช่างเขา ใครมีความรู้สึกอะไรก็เรื่องของเขา แต่การบรรลุธรรมนั้นมีอาการของมันเอง

๔ เรื่องของจิตล้วนๆ สมองไม่เกี่ยวเลย
การบรรลุธรรมเป็นเรื่องการพัฒนาของจิตใจ ไม่เกี่ยวกับสมองอะไรเลย ไม่เกี่ยวกับความคิดอีกด้วย ไม่ใช่ว่าใครคิดธรรมะได้ดีกว่ากัน ได้มากกว่ากัน ได้ใหม่กว่ากัน หรือทำให้คนอื่นยอมรับได้มากกว่ากัน มันไม่ใช่ ถ้าจิตใจยังเหมือนเดิม ในแง่ของการปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเลย มันก็ไอ้จิตใจเดิมๆ เหมือนเดิมน่ะละ ดังนั้น เลยกล่าวว่าการบรรลุธรรมเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องของสมองคิด และเรื่องของจิตมันคิดเอาไม่ได้ มันจะเป็นอุปทานไปหมด ถามว่าเรื่องของจิตจะอธิบายยังไง? มันก็อธิบายยาก หรือถ้าอธิบายมันก็ไม่ตรง ก็ผิดหมดอยู่ดี อธิบายไม่ถูก ไม่ได้ แต่คนที่สำเร็จเหมือนกันย่อมรู้กัน เพราะผ่านสิ่งเดียวกันมาครับ

๕ อาการบรรลุธรรมไม่เที่ยง ยึดไม่ได้
“อาการบรรลุธรรม” อนิจจัง อนัตตา ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตน บางคนมีอาการเหมือนคนฉลาด บางคนมีอาการเหมือนคนโง่ไปเลยก็มี บางคนมีอาการร่าเริงสดใสบางคนมีอาการเหมือนหมดอาลัยตายอยากซะงั้น เห็นไหม มันบอกไม่ได้แน่ชัด แต่พระอรหันต์ด้วยกันท่านดูกันออก ท่านรู้กันว่าคนๆ นี้เริ่มได้ญาณอะไรแล้ว เพราะสังเกตุอาการตามธรรมชาตินี่ละ ไม่มีอะไรแน่นอนตายตัว แต่จิตข้างในจะบอกชัดตรงกัน เหมือนสัตว์ชนิดเดียวกันเจอกัน ก็จะมีสัญชาติญาณของความเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันจากภายในใช่ไหม? ไม่ต้องบอกว่ามีอาการอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะเป็นเสือหรือเปล่า? เสือกับเสือมันเจอกัน มันก็รู้กันว่าต่างก็เป็นเสือเช่นกัน

ตั้งใจปฏิบัติเอาจริงเอาจังเถอะครับ แล้วท่านจะทราบเอง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?