เราควรดำรงอยู่ในโลกอย่างไร?
บทความธรรมะก่อนๆ
ได้อธิบายข้อธรรมมากมายมาแล้ว
แต่ยังไม่ได้อธิบายว่าแล้วเราจะอาศัยอยู่บนโลกนี้อย่างไร? จะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร?
ไม่เอาทางโลกแล้วรีบหนีไปบวชเลยไหม? ก็ไม่ใช่ หรือจะให้หลงทางโลกอยู่ต่อไปเหมือนเดิม
ก็ไม่ใช่อีก ในบทความนี้จะขออธิบายว่าเราควรดำรงอยู่ในโลกอย่างไรบ้าง ดังต่อไปนี้
๑ ความบริบูรณ์
: ทั้งทางโลกและทางธรรม
การประสบความสำเร็จทางโลกเป็นแค่กลางทางเท่านั้น
มิใช่จุดหมายปลายทาง แต่หากจะเอาแต่ประสบความสำเร็จทางธรรมอย่างเดียวก็เหมือนคนที่ยืนอยู่ที่เส้นชัยโดยไม่ได้วิ่งผ่านอะไรมาเลย
ย่อมไม่ทราบว่ากว่าจะมาถึงเส้นชัยนั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง? ดังนั้น
การดำรงชีวิตที่ดีในโลกควรจะบริบูรณ์ทั้งทางโลกและทางธรรม เราไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จที่สุด
ยิ่งใหญ่มากมายทางโลกก็ได้ แต่ต้องมีประสบการณ์ทางโลกมาบ้าง เพราะหากไม่มีเลย
จะไม่เข้าใจจริตวิสัยของมนุษย์ เมื่อจะโปรดสัตว์ก็จะโปรดไม่ได้ การจะโปรดอะไรนั้นเราจะต้องไปเกิดเป็นสิ่งนั้นด้วย
หากจะโปรดกษัตริย์ก็ต้องเคยเกิดเป็นกษัตริย์มาก่อนครับ
๒ บ้านที่แท้จริง : ไม่ใช่โลกใบนี้
ดังนั้น
อย่าหลงอะไรในโลกนี้มาก ต้องรีบตื่นแจ้งเร็วๆ ว่าโลกใบนี้มันชั่วคราว
เราแค่ผ่านมาแล้วจะผ่านไป ทว่า ไม่ได้แปลว่าบ้านที่แท้จริงนั้นจะไม่มีเอาเสียเลย
เราจะต้องกลายเป็นจิตวิญญาณที่เร่ร่อนทั่วจักรวาล แบบนั้นก็ไม่ใช่ สุดโต่งไปครับ
บ้านที่แท้จริงมีอยู่ แต่ไม่ใช่โลกนี้แค่นั้นเอง โลกนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับรองการดำรงอยู่ที่แท้จริง
แต่เพื่อการบำเพ็ญ เพื่อการชำระบาป ดังนั้น อย่ามัวหลงสร้างอะไรในโลกนี้มากมาย
อย่ามัวหลงครอบครัวในโลกนี้ บ้านในโลกนี้ สิ่งของในโลกนี้ คนที่มีน้อยใช่ว่าไม่ดี
คนที่มีมากในโลกนี้ก็ใช่ว่าจะดีกว่า สิ่งที่ดีกว่าคือ
ไม่หลงโลกนี้แล้วตื่นแจ้งให้ได้ว่าโลกที่แท้จริง
บ้านที่แท้จริงของเราคือที่ไหนครับ
๓ พันธกิจ : ของการดำรงในโลก
เรามาสู่โลกเพื่อ
“ทำกิจ” บางอย่างที่คั่งค้างให้สำเร็จ “ให้จบกิจ จบพรหมจรรย์” ให้ได้
มิใช่มาหลงโลกนี้ครับ คนทุกคนที่กลับบ้านที่แท้จริงยังไม่ได้ เพราะยังทำกิจไม่จบ
เพราะเราหลงลืม “พันธสัญญา” ที่ให้ไว้ว่าเราจะลงมาเกิดในโลกนี้เพื่อทำกิจใด?
เมื่อเราตื่นแจ้งเราจะรู้ตัวเองว่าเรามีภารกิจใดในโลกนี้ที่เราต้องทำให้จบไป
เราจะไม่หลงโลกแต่ในการทำกิจนั้นเราจะต้อง “ผ่านทางโลก” ไปด้วยเราไม่อาจยืนอยู่ปลายทางที่เส้นชัยใน
ทันทีได้ ดังนั้น การดำรงชีวิตอยู่ในโลกของเรา มันจะต้องมีช่วงที่เราเหมือนปุถุชนทางโลกอยู่ก่อน
ก่อนที่มันจะสุกงอมเต็มที่แล้วเข้าสู่ทางธรรม การงานในโลกเป็นแค่ของสมมุติ การงานทางธรรมคือ
“พันธกิจ” แท้จริง
๔ กิจทางธรรม : คนเราไม่เหมือนกัน
แต่ละคนก่อนลงมาเกิดในโลกนี้นั้นจะมีการทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าของโลกเก่าไว้ก่อนว่าจะลงมาเกิดในโลกนี้เพื่อทำอะไรบ้าง?
เมื่อให้พันธสัญญากันดีแล้วก็ลงมาเกิดได้ และแต่ละคนก็ให้พันธสัญญาอันต่างกันไป
เช่น พระอานนท์ให้พันธสัญญาว่าจะมาเป็นองค์อุปัฏฐาก นางวิสาขาให้พันธสัญญาว่าจะมาเป็นองค์อุปถัมภ์
เป็นต้น เราจะต้อง “ตื่นรู้ให้ได้ว่าเรามีพันธสัญญาใด?” แล้วทำกิจตามพันธสัญญานั้น
ให้เสร็จ การบรรลุมรรคผลมีจริง เรียกว่า “มรรคสี่, ผลสี่”
เมื่อเราบรรลุมรรคผลแล้วเราจะตื่นแจ้งรู้ว่าพันธกิจของเราคืออะไร
จะไม่มีใครมาบอกเรา อาจมีคนมาสะกิดเตือนเรา แต่เขาจะไม่บอกตรงๆ
จะให้เราตื่นแจ้งรู้เองครับ
๕ การชำระตัวเอง
: ก่อนกลับบ้านที่แท้จริง
โลกนี้มีความไม่บริสุทธิ์อยู่มากมาย
บ้านของเรานั้นมีความบริสุทธิ์ในธรรมอยู่ เมื่อเราจะกลับบ้านที่บริสุทธิ์ของเราๆ
จะต้องผ่านการ “ชำระบาป” เสียก่อน ในทางพุทธเรียกว่า “ชดใช้กรรม” นั่นเอง
คนเราอาจได้เป็นใหญ่ในทางโลก ทำงานตามพันธสัญญาของตนมากมาย
แต่สุดท้ายแล้วจะต้องผ่านกระบวนการชำระบาปของตนเองด้วย ไม่เช่นนั้น
จะไม่บริสุทธิ์พอที่จะกลับบ้านที่แท้จริงได้ เช่น อดีตนายกหลายคนที่ทำงานได้ดี
แล้วก็ต้องคดีต่างๆ เมื่อพวกเขาชำระสะสางตัวเองหมดแล้ว
เขาก็จะบริสุทธิ์พอที่จะกลับบ้านที่แท้จริงนั้นได้ ดังนั้น
อย่ากลัวการถูกลงโทษทัณฑ์
เพราะนี่คือวิธีที่ช่วยให้เรากลับสู่บ้านที่แท้จริงของเราได้เพียงทางเดียว
ไม่ว่าจะทำดีทำชั่วแค่ไหน ก็ต้องผ่านการถูกชำระบาปทุกคนครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น