ความดีแบบอุปทานเป็นไฉน?




หลายคนเข้าใจผิดในพุทธศาสนามาก และคิดว่าพุทธศาสนา “สอนให้เมาดี บ้าความดี” เลยไปบ้าทำความดีกันมากมาย โดยที่ยังไม่รู้เลยว่ามันดีจริงหรือเปล่า? และความดีที่แท้จริงคืออะไร? ทำบนความไม่รู้ ทำบนความมืดบอด คือ อวิชชา หรือความหลงนั่นเอง ในบทความนี้จะขออธิบายความดีแบบอุปทาน ดังต่อไปนี้
  
การทำดีแบบมีอุปทาน
หลายคนเมื่อจะทำความดีจะคิดก่อนว่าฉันจะทำความดี นี่คือความดีที่ฉันจะทำ ฯลฯ การตั้งใจทำความดีเกินไปนี้เองที่ทำให้เกิด “อุปทาน” ขึ้นได้ครับ ทีนี้ ความดีที่เราทำทั้งหมดมันจะเป็น “ของเก๊” หมดเลยด้วยเกิดจากอุปทานของเราเองที่ไปตั้งเจตนา ว่าต้องทำความดี อันนี้คือความดีนะ อันนั้นไม่ใช่ความดีนะ พอเห็นภาพนะครับ นี่แหละที่เรียกว่าอุปทาน เราอุปทานความดีขึ้นมาเพื่อที่จะ “ทำตามแบบ” ที่เราคิดว่ามันคือความดีนั้นๆ แบบนี้เลยไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ คนไทยพุทธส่วนใหญ่เป็นแบบนี้นะ ชอบไปคิดเอาเองก่อนว่านี่คือความดี นี่คือบุญ ฉันจะทำความดีละ จะทำบุญละ ทีนี้ก็เลยเกิดอุปทานขึ้นมาได้ยังไงละครับ

ความดีขึ้นอยู่กับการมองของคน
ดังนั้น เพื่อให้คนชอบ คนพอใจ นิยมและศรัทธาเรา เราจะทำยังไงครับ เราก็จะสร้างความดี “ตามความคิดของคนอื่น” เมื่อนั้นเราจะไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ เราจะเป็นอะไรที่ “ต้องเหมือนอย่างที่คนชอบ” คนชอบให้เราเป็นอย่างไร เราก็จะต้องทำ ต้องเป็นอย่างนั้น นี่ละ ความไม่เป็นตัวของตัวเองครับ เพราะตั้งต้นจากความดีแบบอุปทานคิดเอาเอง บวกกับต้องการให้คนยอมรับ ก็เลยสร้างความดีในมุมมองของคนอื่นๆ ที่เขามองว่าดี ถ้าเขามองว่าการทำตัวให้ดูแก่ๆ หง่อมๆ จะน่าศรัทธา เราก็ทำตัวให้ดูแก่หง่อม เพื่ออะไร? เพื่อให้คนยอมรับ ให้คนศรัทธา ให้คนมาชมชอบเรา อันนี้ ไม่ใช่ความดีที่แท้จริงอะไรเลยนะครับ

๓ ปากพูดว่าว่างแต่ใจไม่ว่าง
บางคนพยายามทำตัวให้เหมือนคนมีธรรมะ ปากก็พล่ามพูดเรื่องความว่าง แต่ใจไม่ว่าง ใจคิดแต่ว่าจะทำยังไงให้คนชอบ ให้คนเชื่อ ให้คนศรัทธาเรา แบบนี้คนชอบไหม? คนจะศรัทธาไหม? นี่ เห็นความไม่ว่างในจิตของคนแบบนี้หรือยัง? หลายคนไม่เห็น เพราะมัวแต่ “เชื่อคำพูด” อย่าไปตัดสินคนที่คำพูดครับ ให้ดูที่การกระทำมันตรงกว่า เพราะคำพูดนั้นจะโม้ให้ดูดีอย่างไรก็ได้ อันนี้ก็ไม่ใช่ความว่างที่แท้จริงอีกเช่นกันนะ ธรรมะที่ไม่จริง, ความดีที่ไม่จริง, บุญที่ไม่จริง ฯลฯ อันเกิดจากอุปทานก็เลยถูกสร้างออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้ดูเหมือนของจริง เพราะไม่รู้ว่าของจริงเป็นอย่างไร เลยต้องลองผิดลองถูก ทำออกมาเรื่อยๆ จริงไหมละครับ

๔ ถ้าใครว่าเราไม่ดี เป็นเรื่อง?
เมื่อเรายึดมั่นว่าเราทำความดีเมื่อไร เมื่อนั้นละความขัดแย้งจะตามมา มันจะเกิดเรื่องละเพราะอะไร เพราะคนอื่นเขาอาจคิดไม่เหมือนเรา มีมุมมองต่างจากเรา บางคนเขาอาจมองว่าสิ่งที่เราทำ มันไม่ดี ก็ได้ จริงมั้ย ทีนี้พอเขามอง เขาวิจารณ์ เราก็จะเกิดอาการต่างๆ นานาละ แต่เราจะเก็บกดอาการเหล่านั้นไว้ ให้ภายนอกเราดูปกติ ไม่คิดอะไร ราวกับพระอรหันต์ ทีนี้ ตะกอนขุ่นข้นทั้งหลายมันก็จะสะสมอยู่ในใจของเราเรื่อยๆ ไม่ออกไปได้เสียที เพราะเรายึดความดีที่เราอุปทานมาเองแบบนี้ไงละครับ เคยเห็นไหมครับ คนในสังคมไทย ส่วนใหญ่ชอบทำความดีแบบคิดเอาเอง แล้วพอมีคนคิดต่าง ก็จะกลายเป็นเรื่อง ทะเลาะเบาะแว้งกันไงครับ

๕ ความดีที่แท้จริง ทำอย่างไร?
ก็เริ่มต้นจากทำตัวธรรมดา ธรรมชาติ อย่างที่เราเป็นจริงๆ ไม่ต้องไปตั้งท่าว่าจะทำความดีอะไร หรือความชั่วอะไรก็ไม่ต้อง เพราะมันเป็นอุปทานหมดนะ เป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติอย่างที่เราเป็นจริงๆ ให้ได้ก่อน ไม่ต้องกลัวว่าสังคมจะมองว่าเราไม่ดี เฮ้ย เราก็มนุษย์ เขาก็มนุษย์ ต่อให้เราไม่ดี เราก็ไม่ต่างจากเขา เขาก็ไม่ต่างจากเราหรอก มีดี มีไม่ดี เหมือนๆ กันทั้งนั้น ยกเว้นว่า “เราเป็นร่างของปีศาจ” และเรากลัวว่าคนจะไม่ยอมรับเรา เราเลยต้องพยายามทำ “สิ่งที่เราคิดว่าดี” เยอะๆ เพื่อให้คนยอมรับ มนุษย์เรานั้นไม่จำเป็น ต้องทำความดีเพื่อให้ใครมายอมรับหรอกครับ เพราอะไร? เพราะเราเป็นมนุษย์เหมือนกันอยู่แล้วไงครับ
                             
ปล่อยให้ความดีที่แท้จริง จากธรรมชาติ มันเกิดของมันเองเถอะครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?