ยุคสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่




“ยุคพุทธกาลของพระพุทธเจ้า” มีความยาวนานกว่าอายุขัยของมนุษย์ และไม่ได้จบแค่ชาติเดียว ไม่ได้จบแค่เมื่อพระสมณโคดมละสังขารเท่านั้น กิจทางธรรม กิจของพุทธศาสนายังต้องมีอยู่ต่อไปจนครบห้าพันปี ในห้าพันปีนี้ นับเป็นยุคย่อยๆ ได้อีก ในบทความนี้ จะขอยกตัวอย่างยุคย่อยๆ สักห้ายุค ดังต่อไปนี้ครับ
  
๑ ยุคจุดเริ่มต้นประกาศศาสนธรรม
คือยุคที่เจ้าชายสิทธิถัตถะออกบวชจนสำเร็จเป็นพระสมณโคดมและออกประกาศศาสนธรรม เพื่อบอกให้รู้ทั่วกันว่ายุคของพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ได้เริ่มต้นแล้ว นับจากนี้ไปจน ๕,๐๐๐ ปี นี่คือ อายุพุทธกาล แม้ว่าพระสมณโคดมที่ทำหน้าที่ประกาศศาสนธรรมได้ละสังขารไปแล้ว ทว่า พุทธศาสนาก็จะยังอยู่จนห้าพันปีนั้น จนเมื่อหมดอายุพุทธกาลแล้ว ทวยเทพทั้งหลายก็จะ “ยอมปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามกรรม” สิ่งต่างๆ จะไม่ดี จะเกิดภัยพิบัติมากมายที่เรียกว่าภัยพิบัติล้างโลกน่ะละ อันเป็นเรื่องธรรมดาของการหมดยุคพระพุทธเจ้านะครับ ในยุคเริ่มต้นนี้ จะมีแต่ธรรมะ ความเจริญทางธรรม แต่ทางโลกยังไม่เจริญนัก ค่อยๆ พัฒนาไปครับ

ยุคเฟื่องฟู กษัตริย์สนับสนุน
คือยุคที่ “พระเจ้าอโศกมหาราช” ผู้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ลงมาเกิดแล้วสนับสนุนพุทธศาสนาให้เจริญจนแพร่หลายและแทนที่ศาสนาพราหมณ์ในที่สุด ยุคนี้ ความเจริญจะมาจากชนชั้นบน วรรณะกษัตริย์แล้วถ่ายลงสู่พุทธศาสนา แต่ชนชั้นล่างจะยังไม่ได้รับผลนัก ทว่า ก็ให้ผลมาก เพราะทำให้ศาสนาพุทธเข้ามาแทนที่ศาสนาพราหมณ์ในอินเดียได้เลยทีเดียวทั้งที่อินเดียนั้นนับถือพราหมณ์มาก่อนอย่างเหนียวแน่นและเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก ยุคนี้เรียกได้ว่าความเจริญทางโลกเริ่มมี เริ่มเข้ามาหนุนทางธรรมในขณะที่ยุคบุกเบิกก่อนนั้น พระสาวกยังไม่มีแม้แต่จีวร ต้องชักผ้าบังสุกุลมาครองห่มกายกัน วัดก็ยังไม่มีเหมือนอย่างยุคนี้ครับ

๓ ยุคเฟื่องฟู สังคมคนระดับล่าง
คือยุคที่พระพุทธศาสนาแพร่ขยายลงสู่ชนชั้นล่าง หลังจากที่เคยอยู่ชนชั้นบนมาก่อนเช่นวรรณะกษัตริย์และวรรณะพราหมณ์ ยุคนี้เราเห็น “สังคมนิยม” เกิดขึ้นพร้อม “มหายาน” ฮ่องเต้เหลียงบู๊ตี่ไม่ยอมรับท่านตั๊กม้อ ที่เดินทางมาไกลเพื่อเผยแพร่ศาสนาจากอินเดียมายังจีน ทรงขับไล่ไปจากแคว้นเสีย เพราะคนจีนไม่ยอมรับวัฒนธรรมจากประเทศอื่นง่ายๆ ทว่า ธรรมของท่านกลับก่อเกิด “มหายาน” ที่เป็นที่นิยมของคนระดับล่างมากมาย วัดเส้าหลินกลายเป็นศูนย์รวมใจของคนชั้นล่าง ก่อเกิดสังคมนิยมชาวฮั่นขึ้น แม้ระดับบน ฮ่องเต้จะไม่ยอมรับแต่ระดับล่างกลับนิยม นี่คือยุคเจริญจากรากหญ้าจากชนชั้นล่างที่แตกต่างจากยุคก่อนนั่นเอง

๔ ยุคเฟื่องฟู ดุจดอกไม้เบ่งบาน
คือยุคที่เราอยู่กันนี้เองครับ ยุคนี้ความเจริญจะไม่ได้มีแต่ทางธรรมเหมือนในอดีตแต่จะเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม อันเป็นธรรมดาที่มีได้ในพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ไม่ได้มีแต่ยุคของพระศรีอาร์ฯ นะครับ ต่างกันก็แค่รายละเอียดเท่านั้น แต่ความเจริญรุ่งเรืองมีเหมือนกัน เพราะเหล่าเทพ, โพธิสัตว์ ฯลฯ จะระดมกำลังลงมาสร้างความเจริญให้โลก เพียรบารมีกันเต็มที่ไงละครับ ยุคนี้เลยดูเหมือนยุคพระศรีอาร์แต่ยังไม่ใช่ยุคของพระศรีอาร์นะ เป็นยุคของพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ องค์ปัจจุบันนี้ คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า แต่เพื่อให้มนุษย์ไม่หลงโลก ยุคนี้จึต้องมี “ภัยพิบัติ” มาช่วยกระตุ้นให้คนทั้งหลายเลิกหลงโลกด้วย อย่างที่เราเห็นอยู่ไงครับ

๕ ยุคสุดท้าย ก่อนปิดพุทธกาล
คือยุคปิดกัป ยุคสุดท้ายก่อนที่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าจะหมดสิ้นไปตามหลักอนิจจัง ยุคนี้จะเป็นยุคที่มีภัยพิบัติมากมายเหมือนอย่างคำทำนายประเภทโลกแตก อะไรแบบนั้นแม้ว่าจะไม่เหมือนซะทีเดียว แต่ก็ทำให้เราตระหนักรู้และเตรียมตัวเตรียมใจรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ฮะ คนทั้งหลายหากลงมาเกิดในยุคก่อนนี้แล้ว ยังทำกิจไม่สำเร็จก็ดี, ชำระเวรกรรมยังไม่หมดก็ดี, ปฏิบัติธรรมยังได้ไม่เต็มที่ก็ดี ก็จะต้องลงมาเกิดในยุคนี้อีก ทว่า ยุคนี้ไม่ค่อยดีนัก ไม่ดีเลย หากเป็นไปได้ อย่ามัวหลงโลก อย่ามัวเสียเวลาครับ เร่งบำเพ็ญ ทำสิ่งที่ต้องทำ ของใครของมัน ทำให้จบกิจกันเร็วๆ ก็จะไม่ต้องลงมาเกิดอีกในยุคปิดกัปที่แสนทุกข์ยากฮะ
                             
นับจากกลางพุทธกาลไป ภัยพิบัติก็จะเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนปิดกัปครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?