เทคนิคการ “ปฏิบัติธรรมที่ใจ”
ในบทความก่อนๆ
ได้กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมว่า
“สำคัญที่ใจ” ในบทความนี้ ผู้เขียนอยากจะแนะนำเรื่องเทคนิคการปฏิบัติธรรมที่ใจ
ใช้ใจเป็นประธาน ไม่ใช่ใช้สมองหรือความคิดเป็นที่ตั้ง เพื่อให้เกิดการพัฒนาในการปฏิบัติธรรมของฆราวาสทั้งหลาย
โดยได้นำมาจากประสบการณ์ของผู้เขียนโดยตรง ดังต่อไปนี้ครับ
๑ ใจใสๆ
เหมือนเด็กทารก
การปฏิบัติธรรมนั้นสำคัญมากๆ
คือ เราต้องรู้จัก “จิต” ของเราก่อน
จิตของเรานั้นบริสุทธิ์ประภัสสรเหมือนดั่งเด็กทารก ไม่รู้อะไรถูก, ผิด, ดี, ชั่ว
ฯลฯ ทั้งนั้น เพราะความถูก, ผิด, ดี, ชั่ว มันไม่ใช่ตัวสัจธรรม แต่มันคือ
“มุมมองที่คนมองแล้วคิดว่ามันถูก, มันผิด, มันดี, มันชั่ว” ตามแต่ใครจะมอง
ต่างหากละครับ เอาละ เราจะต้องใช้จิตใจที่ใสซื่อบริสุทธิ์อยู่แล้วนี้ ที่เรียกว่า
“จิตประภัสสร” นี้ ในการปฏิบัติธรรม หลายคนแยกแยะไม่ได้ เพราะอะไร?
เพราะจิตกับวิญญาณเหมือนคู่แฝดกัน ทำงานร่วมกันเหมือนตัวติดกัน ทุกครั้งที่จิตใสๆ
ซื่อๆ วิญญาณก็เข้ามาปรุงแต่ง มันก็เกิดสังขาร ฯลฯ ตามมามากมาย
เราเลยไม่รู้จักว่าตรงไหนที่เป็นจิต?
๒ หวนกลับมาสำรวจที่ใจ
ข้อนี้สำคัญมาก
เพราะหลายคนเวลาปฏิบัติธรรมชอบ “ส่งจิตออกนอก” อันนี้ สายเซนเราเน้นมาก
เพราะว่าบางคนมีมโนมยิทธิ เมื่อส่งจิตออกนอก คิดพะวังเรื่องนอกตัว
จิตวิญญาณในร่างสามารถจรจากร่างได้ แล้วมีจิตวิญญาณอื่นมาอยู่แทน
จิตวิญญาณอื่นนั้น “มิใช่จิตเดิมแท้” ของเรา ทว่า หลายคนไม่รู้ ไม่เห็น
ผู้เขียนได้ทำงานร่วมกันทีมงานที่มีตาที่สาม และไม่บอกอะไรเขา ทว่า
หลายคนเคยเห็นประสบการณ์เดียวกัน คือ
จิตวิญญาณจรจากร่างไปโดยที่ร่างยังไม่ตายเพราะมีจิตวิญญาณอื่นมาอยู่แทน
ไม่ใช่คนเดียวที่เห็นนะครับ แต่ทุกๆ คนที่ทำงานกับผู้เขียน ล้วนเจอประสบการณ์เดียวกัน
เราจึงต้องหันกลับมาสำรวจดูที่ใจเราเองครับ
๓ ลองใช้ความรู้สึกจากใจดู
คนเรานั้นมักติดชินการใช้
“สมองและความคิด” มาตลอดจะใช้ “จิต” ไม่เป็นเมื่อใช้จิตไม่เป็นก็จะไม่รู้ว่าการ
“จิตหยั่งรู้” ที่เรียกว่า “ญาณ” และ “ปัญญาญาณ” นั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร? เพราะรู้แต่การใช้สมองคิดไงครับ
ดังนั้น เราต้องหัดไม่ใช้สมองคิดมากเกินไปบ้าง หัดมาใช้จิตให้เป็นบ้าง
และวิธีการที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด คือ การลองใช้ความรู้สึกของตัวเอง
ที่อาจจะดูไร้เหตุผลและไม่มีคำอธิบายครับ นี่เขาเรียกว่า “เซ้นท์” หรือสามัญสำนึกก็ได้ หลายคนอาจมีเซ้นต์หรือสามารถสัมผัสรับรู้อะไรได้
เพราะอะไรครับ? เพราะจิตเป็นตัวรู้อยู่แล้ว แต่เมื่อเรายังใช้จิตไม่เป็น
เราเลยไม่รู้ว่าจิตสามารถหยั่งรู้ได้ตามกำลังที่เรียกว่ากำลังญาณนั่นเอง
๔ การทำตามใจตัวเอง?
หลายคนอาจคิดว่าการปฏิบัติธรรมโดยเอาใจเป็นที่ตั้ง
คือ การเอาแต่ใจตัวเองทำตามอำเภอใจตัวเอง ไม่ใช่นะครับ คำว่า “เอาแต่ใจตัวเอง” คือ
เราไปควบคุมบังคับคนอื่นให้เขาเป็นอย่างใจเรา แบบนั้นไม่ใช่การใช้ใจปฏิบัติธรรมแน่นอนเพราะไม่ได้ทำที่
“ตัวเราเอง” แต่ไปทำที่คนอื่นหมดเลยไปยุ่งกับคนอื่นเขาบังคับควบคุม ให้คนอื่นต้องเป็นอย่างใจของเราให้ได้
การปฏิบัติธรรมที่ใจนั้นตรงข้าม เราจะไม่เอาใจไปควบคุมบังคับใคร เช่นนั้นแน่นอน
แต่เราจะใช้ใจของเรา ทำออกมาจากใจของเรา เพื่อให้มันสว่างออกมาจากภายในของเรา
นี่คือ การปฏิบัติธรรมที่ใจ ออกมาจากใจ ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น หรือต้องไปทำให้คนอื่นต้องมาทำตามใจเลย
๕ สว่างจากใจจากภายใน
นี่คือ “เคล็ดลับวิชาชั้นสูงของซกเชน” ก็ว่าได้
กล่าวคือ ธรรมสายนี้เน้นเรื่องแสงสว่างจากภายใน เหมือนสีรุ้ง
แสงจากพระอาทิตย์ที่สว่างไสว เช่นนั้น ไม่มีการกระทบกระทั่งกันเหมือนสายวัชรยาน
ผู้บรรลุธรรมจะมีรัศมีเป็นสีรุ้งสว่างออกมาจากภายในได้ แต่จะเห็นได้ด้วยตาทิพย์
การปฏิบัติแบบนี้ตรงข้ามกับการวางใจของคนที่อยู่ทางโลกมาก เพราะชาวโลกปกติจะเก็บความรู้สึกที่แท้จริงไว้ภายใน
ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นเรียกว่าน้ำขุ่นอยู่ใน น้ำใสอยู่นอก แบบนี้ตลอด
ภายนอกก็ดูดี แต่ภายใน “ขุ่นข้องหมองมัว” กลายเป็นอาสวักกิเลสอยู่ภายใน จะต้อง
“เอาออก” ครับ เมื่อใดที่จิตใจของเราสว่างโพล่งออกมาจากภายใน
อาสวะกิเลสก็ดับสิ้นได้
ทั้งห้าข้อนี้ก็คือ
เทคนิคที่ช่วยให้การปฏิบัติธรรมที่ใจก้าวหน้าได้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น