ความจริงที่ทำให้จิตตื่นแจ้ง
คนป่วยต่างคน
กินยาต่างกัน เราจะใช้ยาของคนอื่นกับคนทุกคนไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
สัจธรรมความจริงที่ทำให้จิตตื่นแจ้ง สำหรับแต่ละคน “ย่อมไม่เหมือนกัน” เช่น
บางคนตื่นแจ้งเพราะอริยสัจสี่ แต่บางคนกลับตื่นแจ้งเพราะมรรคแปดก็เป็นได้ (ธรรมจึงเหมือนโอสถ)
ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องนี้ ดังต่อไปนี้ครับ
๑ จริตและจิตใจของคนเราต่างกัน
ดังนั้น
สัจธรรมที่ใช้ปลุกให้จิตของแต่ละคนตื่นแจ้งย่อมแตกต่างกันด้วย ในสมัยพุทธกาล
พระสาวกบางรูป พระพุทธเจ้าท่านให้เพ่งอศุภพะกรรมฐาน ทว่า บางคนท่านกลับพาไปดูนางฟ้าแล้วหลอกล่อว่าหากบรรลุ
ท่านจะให้นางฟ้าเป็นคู่ ก็มี
เห็นไหมครับว่าสัจธรรมความจริงที่ทำให้คนเราตื่นแจ้งนั้น ไม่เหมือนกัน ทว่า
ก็มีแก่นแท้เป็นสัจธรรมเดียวกันทั้งสิ้น ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงมิได้เทศนาแค่เรื่องนิพพาน
ทว่า ท่านกลับมีพระธรรมมากมายถึง ๘๔,๐๐๐
พระธรรมขันธ์ ท่านก็เทศนาไปตามสถานการณ์และผู้ฟัง ยิ่งกว่านั้น
ธรรมที่ท่านเคยเทศนาแล้วนำมาบอกพระอานนท์ต่อ
พระอานนท์ฟังเข้าใจหมดแต่ไม่เคยบรรลุเพราะธรรมนั้นเลย!
๒ ธรรมเป็นอนัตตา
อย่าไปยึด
ดังที่กล่าวแล้วว่ายาของใครก็ของมัน
ไม่มียาที่รักษาได้ทุกโรค ทุกคน ธรรมก็เช่นกัน เราต้องเลือกให้เหมาะกับผู้ฟัง
ถามว่าเหมาะกับอะไร? ก็ต้องพิจารณา “จริตวิสัยและจิตใจของเขา”
พระอรหันตสาวกท่านทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่เรื่องนี้ พระพุทธเจ้าทำได้
นี่คือ ความแตกต่างของพระรัตนตรัยทั้งสาม
จะบอกว่าพระอรหันต์ก็ทำได้เหมือนพระพุทธเจ้าเพราะบรรลุธรรมเหมือนกัน นั้นมิได้
ธรรมในอดีตนั้นเหมาะสมกับผู้ฟังในอดีต คนๆ
นั้นที่พระพุทธเจ้าพิจารณาแล้วเลือกธรรมนั้นให้เขาฟัง เมื่อเอามาใช้กับคนยุคนี้
ก็ไม่มีใครบรรลุได้เพราะธรรมอดีต ดังนั้น เราจะยึดติดในพระธรรม มิได้ ธรรมะเก่าๆ
เราแค่ฟังแล้วผ่านไปเท่านั้นเอง
๓ จิตมีปมยังไง
ก็ต้องแก้แบบนั้น
“ปมในใจของคนเราไม่เหมือนกัน”
เช่น หญิงบ้าผู้หนึ่งเกือบจะลงน้ำตายเพราะเสียลูก,
สามีไป พระพุทธเจ้าโปรดแล้วปลงตกได้เรื่องลูกและผัว ก็สำเร็จธรรมได้
ในขณะที่องคุลีมาลต้องการแสวงหาโมกษะ ทว่า ถูกครูของตนเองหลอกให้ไปฆ่าคน สุดท้าย
เขาก็บรรลุได้เพราะพระพุทธเจ้ามา “แก้ปมในใจ” ของเขา ได้ถูกต้อง, ถูกเรื่อง,
ถูกคน, ถูกเวลา นั่นเอง เห็นไหมว่าธรรมะนั้นเหมือนยา
จะใช้ของคนอื่นเขาไม่ได้ยาของใครของมัน ธรรมะก็เหมือนโอสถ เรียกว่า “ธรรมโอสถ” แก้ปมในใจของคนเรา
เฉพาะคน เฉพาะโรคไป มีปมแบบไหน ก็ต้องแก้ไปแบบนั้น ไม่มียาครอบจักรวาล
ไม่มีธรรมะครอบจักรวาลที่พูดซ้ำๆ อย่างเดิมแล้วจะใช้กับทุกคนได้
๔ จิต,
ความจริง และการตื่นแจ้ง
จิตเดิมแท้ประภัสสร
มีกิเลสมาจรเป็นครั้งคราว เหมือนเมฆน้อยที่บดบังดวงจันทร์ทำให้เราไม่เห็นแสงจันทร์
ทว่า เมื่อเมฆคล้อยลอยผ่านไป เราก็จะเห็นพระจันทร์เต็มดวงสว่างไสว จิตเช่นกัน
บริสุทธิ์ประภัสสรอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ตื่นแจ้ง เสมือน “ทารกที่หลับใหลอยู่ในแปลของมารดา”
ฉะนั้น การจะทำให้จิตตื่นแจ้งได้ ต้องมี “สัจธรรมความจริง”
ที่เหมาะสมมากระตุ้นด้วย มิใช่ไปหลงคิดว่าทุกคนเป็นพุทธะอยู่แล้ว บรรลุอยู่แล้ว
นี่ไม่ถูกต้องนะ ถ้าเป็นพุทธะอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องมีการบำเพ็ญบารมี
ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้ามาโปรดสัตว์ ทว่า เหตุใดยังมีพระพุทธเจ้ามาโปรดสัตว์?
นี่เพราะไม่เข้าใจคำว่า “จิตเดิมแท้ประภัสสร” การปฏิบัติจึงไม่ได้มรรคผล
๕ ความตื่นแจ้ง
ไม่ใช่ทะเลาะกับกิเลส
หลายคนชอบไปทะเลาะกับกิเลส คิดว่าต้องกำจัดกิเลส
ต้องดับกิเลส ฯลฯ ไม่จริงนะครับ การที่บางคนตื่นแจ้งได้เพราะเห็นกิเลสดับไปเป็นธรรมดานั้น
เพราะสัจธรรมความจริงเรื่องกิเลสดับ ตรงกับจริตจิตใจของเขาพอดี เขาก็บรรลุได้
เท่านั้นเอง ไม่ได้แปลว่าให้เราทุกคนต้องไปทำตามด้วยการกำจัดกิเลส ไม่ใช่นะครับ
พระอรหันต์ปัญญาวิมุติท่านก็มีกิเลสได้ แต่กิเลสไม่อาจทำอะไรท่านได้ ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่ได้ผลนั้น
มักจะมีความสุดโต่งสองทาง ทางแรกคือ สุดโต่งด้าน “ไม่ทำอะไรเลย คือ คิดว่าเป็นพุทธะอยู่แล้ว
นิพพานอยู่แล้ว” อีกทางคือ “ทะเลาะกับกิเลส เพราะคิดว่าต้องกำจัดกิเลส” ทว่า
จิตจะตื่นแจ้งได้ ไม่ใช่ทั้งสองทางนี้เลยครับ
คนเราทุกคนต้องเจอกับความจริงในแบบของตัวเองเท่านั้นครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น