เคล็ดลับการใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม




หลายท่านคิดว่าการปฏิบัติธรรมเหมือนการเรียนในห้องเรียน มีครูมาบรรยาย สอนให้ฟัง แล้วเราจะบรรลุธรรมได้ อันนี้ เข้าใจผิดกันไปเยอะมากครับ เพราะการปฏิบัติธรรมเป็นการปฏิบัติทางจิต ไม่ใช่การนั่งฟังการบรรยายหรือใช้สมองคิดหาทฤษฎีอะไรทั้งนั้นครับ ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องนี้ ดังต่อไปนี้ครับ
  
๑ ทำอะไรก็ได้สำคัญที่ “ใจ”
ข้อแรก ข้อนี้สำคัญที่สุดเพราะการปฏิบัติธรรมนั้นมี “ใจเป็นประธาน” ดังนี้ ไม่สำคัญว่าเราจะต้องไปเข้าวัด นั่งสมาธิอะไรเลย เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ตามปกติก็ปฏิบัติธรรมได้ ทว่า นี่ไม่ได้หมายความว่าปุถุชนทุกคนก็กำลังปฏิบัติธรรมอยู่นะ เหมารวมแบบนั้นไม่ได้ เพราะมีบางคนที่ปฏิบัติธรรมเป็นและไม่เป็น การที่เราจะปฏิบัติธรรมเป็นนั้น จะต้องมี ปริยัติมาก่อน แล้วจึไปสู่การปฏิบัติ และปฏิเวธในท้ายที่สุด ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ใครก็ปฏิบัติธรรมได้โดยที่ไม่มีพื้นฐานปริยัติอะไรเลย จะก้าวข้ามขั้นไปสู่การปฏิบัติและปฏิเวธได้อย่างไร? เอาละ เมื่อได้ปริยัติแล้ว ก็จะเข้าใจว่าอะไรก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรา ทำอะไรก็ได้ แต่ให้ทำที่ใจเรานี่เอง

ปฏิบัติธรรมที่ใจทำยังไง?
จุดมุ่งหมายสำคัญของการปฏิบัติธรรมที่ใจ ไม่ใช่เพื่อทำให้ใจเป็นอะไรอย่างอื่นไป แต่เพื่อพัฒนาจิตใจของเรา อะไรที่ไม่ใช่ก็แก้คลายออก โพล่งออกด้วย “ความตื่นแจ้ง” เมื่อจิตนั้นได้รับธรรมกระทบ จิตก็จะตื่นแจ้งในสัจธรรมความจริง โพล่ง โล่ง สว่างไสวออกมาเอง แม้ภายนอกจะทำอะไรอยู่ก็ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวว่าต้องไปเข้าวัดหรือนั่งสมาธิอะไรทั้งนั้น ในพระไตรปิฎกท่านอุปมาเปรียบเปรยไว้ว่าผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานนั้น แม้ว่านั่งทอผ้าอยู่ พิจารณาเห็นด้ายหดสั้นเข้าหายไปเป็นอนิจจัง ย้อนกลับมาดูใจ ดูตัวเราก็ไม่พ้นอนิจจังเช่นกัน แบบนี้ก็สามารถหลุดพ้นได้ แต่ไม่ใช่ว่าให้เราไปคิดตามแล้วจะหลุดพ้น มันเป็นเรื่องของการตื่นแจ้งของจิต

๓ จิตตื่นแจ้งเป็นอย่างไร?
การบรรลุธรรมคือ “ภาวะจิตตื่นแจ้ง” ไม่ใช่ “ภาวะสมองรับรู้” หากเรายังใช้สมองมากอยู่ คิดนั่นคิดนี่ เก่ง รู้ไปหมดทุกอย่างด้วย “สมองอันชาญฉลาด” ของเรา เราจะไม่มีทางบรรลุธรรมได้เลย เพราะเราไม่รู้จักการใช้จิต และจิตก็หลับอยู่ในตัวเราไม่ตื่นแจ้งเสียที จิตจะตื่นแจ้งได้ต้องได้รับ “สัจธรรม” มาปลุกให้ตื่นแบบที่ “รุนแรงมากพอ” เรียกว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” กันเลยทีเดียว เช่น บางคนเสียครอบครัว ลูก, ผัวก็ตายหมดแล้วจะไปโดดน้ำตาย แล้วก็ปลงตกจนบรรลุธรรม แบบนี้ก็มี คือ เราต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่รุนแรงและเรายอมรับได้ยาก เราจะยอมรับได้เมื่อเรามีพละห้าเข้มแข็งพอ เมื่อนั้นจิตก็จะตื่นแจ้ง หลุดพ้น

๔ พละห้าที่เข้มแข็งพอคืออะไร?
ดังที่กล่าวแล้วว่า “จิตจะตื่นแจ้งได้ ต้องมีพละห้าที่เข้มแข็งพอ” รองรับไว้ก่อน เพราะถ้าพละห้าไม่เข้มแข็งพอ เช่น ความศรัทธาไม่เข้มแข็ง ไม่ค่อยเชื่อ ต่อให้สัจธรรมความจริงปรากฎชัดตรงหน้า คนแบบนี้ก็จะไม่ยอมรับความจริง ไม่เชื่อความจริงนั้นอยู่ดี เขาก็จะหาเหตุผลต่างๆ นานามากมาย ราวกับรู้ไปหมด ฉลาดไปหมด ทว่า ทั้งหมดก็เพื่อ “หนีความจริง” เท่านั้นเอง นี่คือ ลักษณะอาการของคนที่พละห้าไม่เข้มแข็งพอที่จะรับความจริงได้ ดังนั้น คนเราจะบรรลุธรรมได้ เราจะต้องพัฒนาพละห้าของเราให้เข้มแข็งก่อน และเมื่อใดที่พละห้า “สมังคี” กันดี พร้อมได้รับสัจธรรม ก็ไม่ต่างอะไรกับดอกบัวที่ได้รับแสงอาทิตย์ ย่อมเบิกบานฉันนั้น

๕ พละห้าสมังคีเป็นอย่างไร?
พละห้าได้แก่ ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ และปัญญา ทั้งห้าอย่างนี้ เมื่อมีความสมดุลกันดี และพร้อมเพรียงกันดี อุปมาเหมือนคนห้าคนที่ร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อนั้นก็พร้อมที่จะบรรลุธรรม อุปมาเหมือนดอกบัวตูมที่พร้อมเบ่งบานรับ “แสงอาทิตย์ยามเช้า” นั่นเอง แสงอาทิตย์ก็อุปมาเหมือน “แสงธรรม” หรือว่าธรรมะ ส่วนดอกบัวตูมก็อุปมาเหมือนจิตของเราที่ต้องได้รับการกระทบจากสัจธรรมความจริงก่อน จึจะตื่นแจ้งได้ อันว่า “จิตเดิมแท้ประภัสสร มีกิเลสมาจรเป็นครั้งคราวนั้น” บ่งบอกชัดเจนว่ากิเลสนั้นไม่ใช่อัตตา ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวกูของกู กิเลสไม่ใช่ของจิต จิตบริสุทธิ์ประภัสสรอยู่แล้ว เพียงแต่รอธรรมะจึตื่นแจ้งก็เท่านั้น
                             
อย่ามัวเรียนธรรมะเหมือนเรียนในระบบ มันไม่ใช่ “ปฏิบัติ” ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?