จะล้างความลุ่มหลงในปรัชญาได้อย่างไร?
ในบทความก่อนได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างปัญญาและปรัชญาเอาไว้แล้ว
ทว่า หลายท่านก็อาจยังไม่หลุดพ้นจากวังวนของปรัชญา วังวนของความคิด จึงไม่อาจเห็นสัจธรรมความจริงแบบใสซื่อ
ไม่ปรุงแต่ง เหมือนจิตใจของเด็กทารกได้ ในบทความนี้จะอธิบายเพิ่มเติมว่าปรัชญาไม่ใช่ความจริงอย่างไร
ดังต่อไปนี้
๑ ปรัชญาทั้งหลายคือเงาจันทร์ในน้ำ?
สัจธรรมความจริงไม่อาจแทนที่ด้วยสิ่งอื่นใดได้
หากมันถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น สิ่งนั้นย่อมมิใช่สัจธรรมความจริงดุจเดิม
ภาษาที่เราใช้นั้นคือ “สมมุติบัญญัติ” ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เรียกแทนสิ่งต่างๆ เช่น คำว่า “ดวงจันทร์” ก็มิใช่ดวงจันทร์
มันเป็นแค่ “คำเรียก” ดวงจันทร์ที่แท้จริงเท่านั้น
ในขณะที่ฝรั่งอาจเรียกดวงจันทร์ว่า Moon ก็ได้ ปรัชญาทั้งหลายก็มาจากภาษาต่างๆ
ใช้เรียกขาน ใช้อธิบาย ทว่า ภายใต้ปรัชญาเหล่านี้จะยังมี “สัจธรรมความจริง” เป็นแก่นสารอยู่หรือไม่?
ก็ไม่มีใครทราบ วิชาปรัชญานั้นถูกสร้างมาเพื่อพิสูจน์ ค้นหาในสิ่งเหล่านี้
เพื่อจะนำทางเราไปสู่ดวงจันทร์ที่แท้จริง โดยอาศัยปรัชญาที่เป็นดั่งเงาจันทร์ในน้ำที่เราเห็นนั้น
๒ วิชาปรัชญาคือเครื่องมือจับเท็จ?
วิชาปรัชญาไม่ได้นำสัจธรรมมาให้เรา
มันเป็นแค่เครื่องมือในการตรวจสอบปรัชญาเท่านั้น ปรัชญาทั้งหลายก็มิใช่สัจธรรมความจริง
ดังนั้น วิชาปรัชญาจึงเป็นเช่นเครื่องมือจับเท็จ เราย่อมพบ “ความเท็จ”
ในปรัชญาต่างๆ เสมอ ดังนั้น วิชาปรัชญาจึงแตกแขนงแนวความคิดออกมาได้มากมาย
ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะหากว่ามันมีความจริงแท้อยู่แล้ว
เราก็จะไม่ต้องคิดค้นหาความจริงอื่นใดอีก แต่เพราะมันยังไม่จริง
มันยังจับเท็จได้อยู่เสมอ ดังนั้น เราจึงสร้างหรือคิดค้นปรัชญาใหม่ๆ
มาแทนที่ปรัชญาเก่าได้เสมอ วิชาปรัชญาจึงมีชีวิต จึงมิใช่ความตาย
เพราะปรัชญามิใช่สัจธรรมความจริง เป็นเพียงเงาจันทร์ในน้ำที่นำทางเราไปหาความจริงเท่านั้น
๓ ปรัชญาไม่อาจแทนที่สัจธรรมได้
ดังที่กล่าวแล้วว่าปรัชญากับสัจธรรมความจริงนั้นเป็นคนละสิ่งกัน
เหมือนดวงจันทร์กับเงาจันทร์ในน้ำ ดั่งเช่นคนตาบอดคลำช้าง
พวกเขาไม่อาจเห็นช้างทั้งตัว แต่อาจคลำถูกส่วนใดส่วนหนึ่งของช้าง
แต่หากเราไปสรุปว่านั่นคือช้าง มันก็จะผิดทันที ดังนั้น เราจะสรุปปรัชญาใดๆ ว่าเป็นสัจธรรมความจริง
มิได้เลย เราทำได้เพียงศึกษาปรัชญานั้นๆ เพื่อพัฒนาตัวเราเอง เพื่อใช้มันไปสู่สัจธรรมความจริง
เหมือนการเห็นเงาจันทร์ในน้ำเพื่อตามหาดวงจันทร์ที่แท้จริงฉะนั้น การศึกษาปรัชญานั้นจะทำให้เราได้ศึกษา
“หลักการคิดและวิธีคิด” ของนักปรัชญานั้นๆ แต่เราจะเอาความคิดหรือปรัชญาของเขามาแทนที่สัจธรรมไม่ได้
พอเข้าใจไหมครับ?
๔ ปรัชญาไม่ใช่วิถีทางพุทธศาสนา
พุทธศาสนากับหลักปรัชญานั้น ไม่เหมือนกัน
พุทธศาสนาสอนให้เราเข้าถึงสัจธรรมความจริงด้วยตัวเองได้โดยไม่ถูกความคิดบดบังหรือปรุงแต่งใดๆ
ในขณะที่ปรัชญาสอนให้เราใช้ความคิดปรุงแต่งเพื่อสร้างปรัชญาต่างๆ ขึ้นมา
และแน่นอนว่าปรัชญาที่สร้างจากความคิดเหล่านี้ล้วนมิใช่สัจธรรมความจริง การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาจึงเป็นการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจาก
“วังวนแห่งความคิด” ในขณะที่นักปรัชญาจะวนอยู่กับการคิด ปัจจุบันมีชาวไทยพุทธมากมายที่หลงคิดว่าตัวเองปฏิบัติธรรมพุทธ
แท้จริงแล้ว ไม่ใช่เลย พวกเขากำลังปฏิบัติแบบนักปรัชญาอยู่ต่างหาก
พวกเขาติดชินกับการเรียนในโรงเรียนและใช้วิธีแบบนั้นกับพุทธศาสนา
๕ ที่สุดของปรัชญาคือปารามิตาฯ
ปรัชญาปารามิตสูตร
มิได้มีไว้เพื่อล้างธรรมความจริง ทว่ามีไว้เพื่อล้างอวิชชาความหลงผิดทั้งหลายให้เป็นสุญตาเท่านั้นเอง
เมื่ออวิชชาสิ้นแล้ว สัจธรรมความจริงก็ไม่ถูกบดบังด้วยอวิชชา, ความหลงผิด, คิดไปเองทั้งหลาย
“ปรัชญาปารามิตาสูตร” มิใช่สัจธรรม แต่เป็นเพียงเครื่องช่วยให้เรามองเห็นสัจธรรมได้ง่ายขึ้นเพราะเมื่อเมฆที่บดบังจันทร์สิ้นไปแล้ว
ดวงจันทร์ย่อมปรากฏชัดเจน เมื่อความหลงผิด คิดไปเองทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้ว
สัจธรรมความจริงย่อมจะไม่ถูกปรุงแต่งด้วยความคิดเห็นอื่นใด
ผู้ใดหลงผิดคิดว่าธรรมในปรัชญาปารามิตาสูตรคือสัจธรรม ก็เท่ากับ
“คว้าเงาจันทร์ในน้ำ” เท่านั้นเอง มิอาจได้เห็นดวงจันทร์ที่แท้จริง
ดังคำกล่าวที่ว่า “รูปคือความว่าง”
สิ่งที่ท่านรับรู้ได้ล้วนว่างเปล่าแท้!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น