จะล้างความลุ่มหลงในปรัชญาได้อย่างไร?




ในบทความก่อนได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างปัญญาและปรัชญาเอาไว้แล้ว ทว่า หลายท่านก็อาจยังไม่หลุดพ้นจากวังวนของปรัชญา วังวนของความคิด จึไม่อาจเห็นสัจธรรมความจริงแบบใสซื่อ ไม่ปรุงแต่ง เหมือนจิตใจของเด็กทารกได้ ในบทความนี้จะอธิบายเพิ่มเติมว่าปรัชญาไม่ใช่ความจริงอย่างไร ดังต่อไปนี้

ปรัชญาทั้งหลายคือเงาจันทร์ในน้ำ?
สัจธรรมความจริงไม่อาจแทนที่ด้วยสิ่งอื่นใดได้ หากมันถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น สิ่งนั้นย่อมมิใช่สัจธรรมความจริงดุจเดิม ภาษาที่เราใช้นั้นคือ “สมมุติบัญญัติ” ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เรียกแทนสิ่งต่างๆ เช่น คำว่า “ดวงจันทร์” ก็มิใช่ดวงจันทร์ มันเป็นแค่ “คำเรียก” ดวงจันทร์ที่แท้จริงเท่านั้น ในขณะที่ฝรั่งอาจเรียกดวงจันทร์ว่า Moon ก็ได้ ปรัชญาทั้งหลายก็มาจากภาษาต่างๆ ใช้เรียกขาน ใช้อธิบาย ทว่า ภายใต้ปรัชญาเหล่านี้จะยังมี “สัจธรรมความจริง” เป็นแก่นสารอยู่หรือไม่? ก็ไม่มีใครทราบ วิชาปรัชญานั้นถูกสร้างมาเพื่อพิสูจน์ ค้นหาในสิ่งเหล่านี้ เพื่อจะนำทางเราไปสู่ดวงจันทร์ที่แท้จริง โดยอาศัยปรัชญาที่เป็นดั่งเงาจันทร์ในน้ำที่เราเห็นนั้น

วิชาปรัชญาคือเครื่องมือจับเท็จ?
วิชาปรัชญาไม่ได้นำสัจธรรมมาให้เรา มันเป็นแค่เครื่องมือในการตรวจสอบปรัชญาเท่านั้น ปรัชญาทั้งหลายก็มิใช่สัจธรรมความจริง ดังนั้น วิชาปรัชญาจึเป็นเช่นเครื่องมือจับเท็จ เราย่อมพบ “ความเท็จ” ในปรัชญาต่างๆ เสมอ ดังนั้น วิชาปรัชญาจึแตกแขนงแนวความคิดออกมาได้มากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะหากว่ามันมีความจริงแท้อยู่แล้ว เราก็จะไม่ต้องคิดค้นหาความจริงอื่นใดอีก แต่เพราะมันยังไม่จริง มันยังจับเท็จได้อยู่เสมอ ดังนั้น เราจึสร้างหรือคิดค้นปรัชญาใหม่ๆ มาแทนที่ปรัชญาเก่าได้เสมอ วิชาปรัชญาจึมีชีวิต จึมิใช่ความตาย เพราะปรัชญามิใช่สัจธรรมความจริง เป็นเพียงเงาจันทร์ในน้ำที่นำทางเราไปหาความจริงเท่านั้น

๓ ปรัชญาไม่อาจแทนที่สัจธรรมได้
ดังที่กล่าวแล้วว่าปรัชญากับสัจธรรมความจริงนั้นเป็นคนละสิ่งกัน เหมือนดวงจันทร์กับเงาจันทร์ในน้ำ ดั่งเช่นคนตาบอดคลำช้าง พวกเขาไม่อาจเห็นช้างทั้งตัว แต่อาจคลำถูกส่วนใดส่วนหนึ่งของช้าง แต่หากเราไปสรุปว่านั่นคือช้าง มันก็จะผิดทันที ดังนั้น เราจะสรุปปรัชญาใดๆ ว่าเป็นสัจธรรมความจริง มิได้เลย เราทำได้เพียงศึกษาปรัชญานั้นๆ เพื่อพัฒนาตัวเราเอง เพื่อใช้มันไปสู่สัจธรรมความจริง เหมือนการเห็นเงาจันทร์ในน้ำเพื่อตามหาดวงจันทร์ที่แท้จริงฉะนั้น การศึกษาปรัชญานั้นจะทำให้เราได้ศึกษา “หลักการคิดและวิธีคิด” ของนักปรัชญานั้นๆ แต่เราจะเอาความคิดหรือปรัชญาของเขามาแทนที่สัจธรรมไม่ได้ พอเข้าใจไหมครับ?

๔ ปรัชญาไม่ใช่วิถีทางพุทธศาสนา
พุทธศาสนากับหลักปรัชญานั้น ไม่เหมือนกัน พุทธศาสนาสอนให้เราเข้าถึงสัจธรรมความจริงด้วยตัวเองได้โดยไม่ถูกความคิดบดบังหรือปรุงแต่งใดๆ ในขณะที่ปรัชญาสอนให้เราใช้ความคิดปรุงแต่งเพื่อสร้างปรัชญาต่างๆ ขึ้นมา และแน่นอนว่าปรัชญาที่สร้างจากความคิดเหล่านี้ล้วนมิใช่สัจธรรมความจริง การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาจึเป็นการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจาก “วังวนแห่งความคิด” ในขณะที่นักปรัชญาจะวนอยู่กับการคิด ปัจจุบันมีชาวไทยพุทธมากมายที่หลงคิดว่าตัวเองปฏิบัติธรรมพุทธ แท้จริงแล้ว ไม่ใช่เลย พวกเขากำลังปฏิบัติแบบนักปรัชญาอยู่ต่างหาก พวกเขาติดชินกับการเรียนในโรงเรียนและใช้วิธีแบบนั้นกับพุทธศาสนา

๕ ที่สุดของปรัชญาคือปารามิตาฯ
ปรัชญาปารามิตสูตร มิได้มีไว้เพื่อล้างธรรมความจริง ทว่ามีไว้เพื่อล้างอวิชชาความหลงผิดทั้งหลายให้เป็นสุญตาเท่านั้นเอง เมื่ออวิชชาสิ้นแล้ว สัจธรรมความจริงก็ไม่ถูกบดบังด้วยอวิชชา, ความหลงผิด, คิดไปเองทั้งหลาย “ปรัชญาปารามิตาสูตร” มิใช่สัจธรรม แต่เป็นเพียงเครื่องช่วยให้เรามองเห็นสัจธรรมได้ง่ายขึ้นเพราะเมื่อเมฆที่บดบังจันทร์สิ้นไปแล้ว ดวงจันทร์ย่อมปรากฏชัดเจน เมื่อความหลงผิด คิดไปเองทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้ว สัจธรรมความจริงย่อมจะไม่ถูกปรุงแต่งด้วยความคิดเห็นอื่นใด ผู้ใดหลงผิดคิดว่าธรรมในปรัชญาปารามิตาสูตรคือสัจธรรม ก็เท่ากับ “คว้าเงาจันทร์ในน้ำ” เท่านั้นเอง มิอาจได้เห็นดวงจันทร์ที่แท้จริง

ดังคำกล่าวที่ว่า “รูปคือความว่าง” สิ่งที่ท่านรับรู้ได้ล้วนว่างเปล่าแท้!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?