ลักษณะของผู้มีบุญบารมี




คนเรามีบุญบารมีไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าแต่ละองค์จะมีสาวกได้มาก ยุคนี้เป็นยุคของพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ หลังพระสมณโคดมปรินิพพานแล้ว ชาวพุทธเริ่มมีความคิดว่าเราก็มีบารมี ไม่ต้องสนใจใคร เราปฏิบัติเองก็ได้โดยการ “อ่านเอา” อันนี้ทำให้หลงตัวเองครับ ในบทความฉบับนี้ จึขออธิบายเรื่องผู้มีบารมี ดังต่อไปนี้

๑ จะไม่ทำงานเพื่ออาชีพไตลอดชีวิต
เพื่อจะได้มีเวลาเหลือในการ “ทำงานเพื่อธรรม” นั่นเอง ธรรมชาติจะจัดสรรมาเช่นนี้ เฉพาะผู้ที่มีบุญบารมีมากแล้วในชาติก่อนเท่านั้นนะครับ ผู้ที่มีบุญบารมีน้อยจะไม่ได้รับเช่นนี้ ต้องทำงานเพื่ออาชีพต่อไปจนกว่าจะได้บุญบารมีเต็ม ดังนั้น การตกงาน, การไม่มีงานทำ ฯลฯ อาจหมายถึง การกระทำจนถึงที่สุดแล้ว เต็มที่แล้ว พอดีแล้วและ “ไม่ต้องทำอีกแล้ว” ก็ได้ สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือ ปฏิบัติธรรมและทำกิจทางธรรม นั่นเอง คนที่ทำงานจนตายอาจได้เป็นเทพ แต่คนที่ทำงานหมดเสร็จก่อนตายมีเวลาค้นหาธรรมอาจได้โพธิสัตว์หรือพุทธะครับ คุณต้องเข้าใจว่าการทำงานทางโลกคือระบบของซาตาน แต่การทำงานทางธรรมนั้นแตกต่างกัน

๒ จะไม่ใช่คนไม่มีประสบการณ์ใดเลย
ผู้มีบุญบารมีจะโปรดสัตว์ได้ต้องมีประสบการณ์เดียวกันกับสัตว์นั้นๆ ก่อน เช่น จะโปรดควายก็ต้องเคยเกิดเป็นควายก่อน ดังนั้น หากจะโปรดมนุษย์ ก็จะต้องมีประสบการณ์ทางโลกบางอย่างด้วย จะโปรดพ่อค้าก็ต้องมีประสบการณ์ด้านการค้าขาย จะโปรดนักการเมืองก็ต้องมีประสบการณ์ด้านการเมือง จะโปรดศิลปินก็ต้องมีประสบการณ์ด้านศิลปะ ดังนั้น ผู้มีบุญบารมีย่อมไม่ใช่คนที่ไม่ทำอะไรเลย เกิดมานั่งกิน นอนกินนะ แต่จะต้องมีประสบการณ์การทำงานด้วย แม้ไม่มากมายก็ตาม แต่เรียกได้ว่าเคยผ่านการทำงานมาแล้วก็ได้ แม้แต่งานต้อยต่ำ เช่น ขายบริการทางเพศ, คนฆ่าสัตว์, คนค้ายาเสพติด ฯลฯ ก็ล้วนเป็นการโปรดสัตว์ได้

๓ มีความเบื่อหน่ายโลกเอง ไม่ตามกระแส
หลายคนชอบ “ไหลตามกระแส” เช่น เข้าวัด พระเขาเทศน์ว่าให้เบื่อหน่ายโลก ก็ไหลตามกระแสเบื่อหน่ายโลกตามเขาบ้าง หลายคนเป็นแบบนี้นะ คือ แค่ไหลตามกระแสไปเท่านั้นละ ไม่ใช่ว่ามีสติหรือเบื่อหน่ายโลกจริงๆ แต่คนที่มีบุญบารมีจริงๆ ไม่ใช่เช่นนั้น เขาจะไม่ไหลตามกระแสอะไร แต่เขาจะเบื่อหน่ายโลกของเขาเอง เขาเป็นของเขาเอง พอไม่มีกระแสมาช่วย คนก็เลยมองว่าบ้าบ้าง ไม่เอาไหนบ้าง ไม่รับผิดชอบบ้าง พอถูกจับใส่ผ้าเหลือง คนก็มาไหว้กันประหลกๆ ตามกระแส แห่ตามๆ ประเพณีกันไป อันนี้เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือ ของจริง เกิดจริง กับอะไรที่มันเป็นไป “ตามกระแส” ผู้มีบุญบารมีแท้นั้น ไม่ไหลตามกระแส

๔ มีกรรมเป็นวาสนาพาไป ไม่ใช่กินตามบุญ
วิบากกรรมที่หลายคนคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แม้แต่กรรมชั่วก็ตาม สำหรับผู้มีบุญบารมีแล้ว มันกลับเป็นวาสนาแทนครับ หลายคนที่ยังคิดไม่ได้ คิดได้แต่ว่ากรรมดีดีกว่ากรรมชั่ว จะต้องทำแต่กรรมดี จะได้ไม่ต้องรับกรรมชั่ว คือ “คนไร้วาสนา” เพราะวาสนาไม่ใช่บุญ ไม่อาจเกิดจากบุญ แต่มันเกิดจากกรรมที่เรายอมทำเพื่อปวงสัตว์ และจะมีได้แต่คนที่มีบุญบารมีเท่านั้น เคยเห็นคนได้รับกรรมแต่กลับกลายเป็นดีไหม? นั่นหละ เรียกว่า “วาสนา” มันไม่ใช่บุญแน่นอน เพราะเขาต้องรับวิบากกรรม เหมือนเล้งหูชงมีกรรมทำให้เกือบตาย และด้วยเหตุนี้ทำให้ได้ฝึกวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น ส่วนคนที่มีบุญล่อไปนั้นคือ “พวกกินบุญเก่า” นี่คือพวกไร้วาสนาครับ

๕ มักไม่สมปรารถนาเมื่อจะทำเพื่อปวงสัตว์
เพราะอะไร? เพราะความปรารถนานี้จะนำทางให้เรา “ไปต่อ” สวรรค์จะใช้ความปรารถนาของเราในการล่อให้เราไปต่อเพราะเรามีบารมีพอจะไปต่อไงครับ แต่คนที่ไม่มีบุญบารมี เขาจะไม่ทำให้ไม่สมปรารถนาแบบนี้ คนเราถ้าสมความปรารถนาเสียแล้วก็จะจบ ไม่ไปต่อ เมื่อไม่ไปต่อแล้วใครจะไปโปรดสัตว์ข้างหน้า เขาต้องเลือกคนมีบุญบารมีไปข้างหน้าต่อใช่ไหม เขาก็ต้องทำให้คนมีบุญบารมีนั้นไม่สมความปรารถนา ทำให้ต้องไปต่อชาติหน้าด้วย “ปณิธาน” ของตน ปัจจุบันคนไทยหลายๆ คนที่มีบารมี มาสร้างบารมีกันเยอะ พวกเขาก็จะไม่สมความปรารถนานะ เพราะจะได้ไปต่อ แม้ว่าความปรารถนานั้นจะดีงามแต่อาจยังไม่ถึงเวลาครับ

อ่านแล้วอย่าไปอุปทานว่าตนเป็นผู้มีบารมีนะ ไม่มีใครรับรองให้!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?