ภูมิปัญญาแห่ง “โลกและระบบ” (กรงขัง)
เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายมิได้หลุดพ้นพร้อมกัน
สัตว์บางกลุ่มยังไม่หลุดพ้น ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ดังนั้น
สัตว์ทั้งหลายจำเป็นต้องยังอาศัยในโลกก่อน โลกเป็นอย่างไร? ระบบในโลกเป็นอย่างไร? เพื่อที่จะได้คุมสรรพสัตว์ที่ยังไม่หลุดพ้นเอาไว้ให้ได้
ในบทความนี้ จะขออธิบายเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้ครับ
๑ โลกคืออะไร
มีไว้เพื่ออะไร?
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าสัตว์ทั้งหลายมิได้หลุดพ้นพร้อมกัน
สัตว์ที่ยังไม่หลุดพ้นก็ต้องยังอยู่ในโลกเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ดังนั้น
โลกต้องถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการเวียนว่ายตายเกิด
และการดำรงอยู่ของสัตว์ทั้งหลายดังนี้ โลกไม่ได้เกิดเอง
ไม่ได้เกิดแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ถูกวางแผนมาอย่างดี อะไรที่ไม่จำเป็นต่อกระบวนการนี้
จะไม่มีในโลก อะไรที่หมดความจำเป็นแล้วจะถูกขจัดออกไปจากโลก
ทุกอย่างที่มีอยู่มีเพื่อทำหน้าที่ของมันก็เท่านั้นเอง ดังนั้น ทุกอย่างจึงมีที่มาที่ไปทั้งหมด
มีเหตุมีผลทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเองลอยๆ เลย
และผู้ที่อยู่ในระดับสูงๆ จะมีภูมิปัญญาพอ จะเห็นโลกเหมือนเครื่องยนต์เครื่องหนึ่งได้
สามารถสร้างหรือซ่อมก็ได้
๒ โลกก็เหมือนกรงไว้ขังสัตว์
ถ้าจินตนาการไม่ออกก็ดู
“กรงสัตว์” ก็ได้ครับ
มนุษย์เราอยู่ในมิติที่สูงกว่าสัตว์เดรัจฉานก็เลี้ยงสัตว์ไว้ในกรง
ส่วนชีวะชั้นสูงกว่ามนุษย์ ก็สร้างกรงอีกแบบที่มนุษย์มองไม่ออกว่านั่นคือกรง
เอามาใส่มนุษย์ไว้ มนุษย์นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ในกรง
ย่อมคิดว่าการอยู่ในกรงช่างมีความสุขสบายเสียจริง เท่านั้นเอง
แต่เมื่อใดที่เราเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงกว่าได้ เราจะมีปัญญามองเห็นและเข้าใจโลกที่แตกต่างไปจากเดิม
เราจะเริ่มเห็นว่า “กรง” นั้นคืออะไร? มันขังสัตว์ไว้ได้อย่างไร?
มนุษย์ยอมอยู่ในกรงนั้นได้อย่างไร? ขอเรียกกรงนั้นง่ายๆ ครับว่า “ระบบการปกครอง”
ก็แล้วกัน พระเจ้าส่งเทพลงมาปกครองมนุษย์สร้างระบบการปกครองไว้เหมือนกรง
๓ กรงนั้นมีหลายระดับเป็นชั้นๆ
เหมือนสวรรค์ที่มีหกชั้น
กรงที่พระเจ้าสร้างไว้ขังสัตว์ก็เป็นเช่นนั้น มีหลายระดับชั้นครับ
จิตวิญญาณที่อยู่ในระดับมิติเดียวกันจะอยู่ในกรงเดียวกัน
จิตวิญญาณที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าก็จะอยู่ในกรงที่สูงกว่าขึ้นไป
ผู้ที่อยู่ในกรงที่เหนือกว่าจะมองลงมาเห็นผู้ที่อยู่ในกรงที่ต่ำกว่า
เหมือนมนุษย์ที่เลี้ยงสัตว์น่ะละครับ
ย่อมสามารถที่จะจัดการอะไรกับกรงหรือสัตว์ที่ตนเลี้ยงเอาไว้ได้ เช่น
ทำให้โลกธาตุหวั่นไหว มีธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ฯลฯ แปรปรวนได้
จิตวิญญาณจะถูกคุมเอาไว้ด้วย “พลังงานแต่ละระดับชั้น” เช่น
เมื่อเรายกระดับจิตวิญญาณสู่มิติที่สูงขึ้นมากนั้น
เราจะต้องผ่านด่านพลังงานแต่ละระดับชั้นไปก่อน เมื่อผ่านได้
เราจะเลื่อนระดับได้ครับ
๔ สรรพจิตทั้งหลายก็มีหลายระดับชั้น
สรรพจิตทั้งหลายแม้เป็นธาตุรู้
คือ มโนธาตุเหมือนกัน แต่มีระดับการหยั่งรู้ไม่เท่ากัน ปุถุชนกับพระอรหันต์ก็รู้ไม่เท่ากันแน่นอน
จริงไหมครับ? ดังนั้น จะมาบอกว่าจิตทุกดวงเป็นพุทธะแล้วเท่ากันหมด ไม่ได้
แต่พูดว่าจิตทุกดวงเป็นธาตุรู้เหมือนกันหมด เพียงแต่รู้ต่างกัน
รู้ไม่เท่ากันนั้นได้ สรรพจิตทั้งหลายจึงมีหลายระดับชั้น
ไม่ใช่ว่าทุกคนคือพระเจ้าอยู่แล้ว บ้าบอคอแตกนะครับ แบบนั้นคือ เรียนรู้มาผิดๆ
อ่านมาผิวเผิน ไม่ได้รู้จริง ความจริงคือ จิตมีหลายระดับ
จิตพระเจ้าอยู่ในระดับที่สูง แต่จิตของปุถุชนอยู่ในระดับที่ต่ำ ดังนั้น ปุถุชนจึงไม่รู้ว่าพระเจ้าคิดอย่างไร?
แต่พระเจ้าย่อมเข้าใจได้ว่าปุถุชนคิดอย่างไร ดังนี้ จึงต้องมีการเลื่อนระดับไงครับ
๕ ระบบของโลกและระดับของจิต
เมื่อจิตมีหลายระดับ
และสรรพจิตทั้งหลายก็ลงมาอยู่ในโลกเดียวกัน ดังนั้น โลกจึงต้องมีระบบเพื่อที่จะช่วยให้การดำรงอยู่ร่วมกันของสรรพจิตทั้งหลายที่มีระดับแตกต่างกัน
ไม่มีปัญหานั่นเอง ระบบของโลก เรียกว่า ระบอบการปกครองก็ได้
กรณีที่สัตว์ไม่อยู่ภายใต้ระบอบการปกครอง เช่น สัตว์เดรัจฉานในป่า
ก็ไม่เรียกว่าอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองนะครับ แต่จะอยู่ภายใต้ระบบอีกระบบหนึ่ง ซึ่งถูกออกแบบมาอย่างดีเช่นกันครับ
เช่น การกินกันเป็นทอดๆ ของสัตว์, การที่มนุษย์กินสัตว์ ฯลฯ
ทุกอย่างนี้ล้วนมีเหตุผล และถูกออกแบบมาอย่างดีแล้วครับว่าทำไม
ต้องมีการกินกันเช่นนั้น? ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดเลย แต่จะไปยึดว่าถูกก็ไม่ได้ครับ
โลกและระบบถูกออกแบบมาเช่นนี้
เพื่อให้สัตว์อยากหลุดพ้นครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น