ข้อคิดสำหรับฆราวาสผู้ทรงธรรม
หลายท่านมักคิดว่าไม่ต้องบวชก็สามารถบรรลุธรรมได้
จริงครับ แต่ “น้อยมากๆ” และหลายท่านมักทำไม่ได้จริงดังที่พูด การปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาสนั้นผู้เขียนได้เห็นมาเยอะ
คนที่ได้จริงๆ เขามักป่วยจนเกือบตาย กว่าจะเห็นสัจธรรม ไม่ง่ายเลยนะ
ในบทความนี้จะขออธิบายถึงข้อคิดสำหรับฆราวาสผู้ทรงธรรม ดังต่อไปนี้
๑ อย่าเพิ่งไปคิดว่าตนมีธรรม
อันนี้เตือนบ่อยมาก
แต่ก็ยังต้องเตือนต่อไป เพราะหลายคนพอได้ยินได้ฟังธรรมะปั้บ จะเผลอคิดไปทันทีว่าตนรู้ธรรมแล้ว
มันเป็นแค่ “การรับรู้” ครับ ไม่ใช่การตรัสรู้ ดังนั้น แม้ได้ยินได้ฟังธรรมะ
รู้และเข้าใจมากมาย ทว่า จิตก็เหมือนเดิม ไม่เกี่ยวกับการบรรลุธรรมอะไรทั้งนั้นนะ
ทว่า หลายคนจะเผลอง่าย ขาดสติง่าย พอมีธรรมะเข้ามาปั้บ ขาดสติปุ๊บ คิดว่า “กูรู้”
แล้ว ไอ้กูรูทั้งหลาย มันก็เข้ามาสิงร่างเต็มไปหมดเลย เดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะ เป็นแล้วรักษาไม่ได้นะ
ว่าทีก็เลิกพฤติกรรมไปที แต่ไม่หายขาดหรอก ปีศาจงูมันสิงร่างแล้ว ปีศาจงูนี่จะหลอกให้เราขโมยกินผลไม้แห่งการรู้
เราก็จะรู้ไปหมด หลงว่าตัวเองรู้ รู้นั่นรู้นี่ แล้วไปเถียงกับคนอื่นทั่ว
๒ มีแต่พระศรีอาร์ฯ
ที่บรรลุในผ้าขาว
มีพระโพธิสัตว์องค์เดียวนะที่บรรลุธรรมในผ้าขาว
ท่านจึงได้นามว่า
“อาริยะ” คือ พระศรีอาริยเมตตรัย ครับ คำพูดว่าการบรรลุธรรมไม่เกี่ยวกับสีเสื้อผ้า
ไม่เกี่ยวกับต้องบวชเป็นพระหรือไม่? มันก็จริง
แต่มันจริงเฉพาะผู้ที่มีบารมีแก่มากๆ เช่น พระศรีอาร์ฯ เท่านั้น เราๆ ท่านๆ
ตาสีตาสานี่ไม่ใช่ และอย่าไปหลงตัวเองว่าใช่ครับ บรรลุโสดาบันเออพอได้แต่อรหันต์ ไม่ใช่
หลายคนชอบไปพูดกันทั่วว่าบรรลุธรรมไม่เกี่ยวกับต้องบวชหรือไม่
จริงอยู่พูดน่ะพูดได้ ไม่ผิด แต่ทำได้จริงไหม? โอ้ย น้อยคนเหลือเกินที่จะทำได้
ดังนั้น อย่าเอาไปพล่ามพูดให้ใครเขาฟังมาก มันจะเป็นการโอ้อวดเกินจริง
พูดแต่สิ่งที่เราทำได้จริงดีกว่า จะได้ไม่ลำบากเอาในชาติหน้า
๓ ไม่มีพระพุทธเจ้ามาโปรดเรา
อย่าลืม
สมัยพุทธกาลยังมีพระสมณโคดมมาโปรด
คนก็บรรลุอรหันตผลได้ แต่สมัยนี้ไม่มีแล้ว เราต้องอาศัยธรรมะที่เหลือแล้วปฏิบัติเอาเอง
ดังนั้น อย่าคิดว่ามันง่าย หลายคนชอบคิดว่าง่าย ชอบคิดว่าธรรมะนี้ของกู
กูรู้แล้วก็เป็นของกู แต่แสดงออกมาเหมือนไม่ยึดอะไร
หลอกตัวเองและคนอื่นด้วยว่าตนไม่ยึดติดอะไร อันนี้ไม่ใช่นะ หลงตัวเองแล้ว
มีสติกลับมาไวๆ ไม่งั้นเกิดมิจฉาทิฐิแล้วใครก็ช่วยแก้ให้ไม่ได้
เราไม่มีพระพุทธเจ้ามาโปรด ก็ยากที่จะบรรลุธรรมได้
เมื่อไม่บรรลุก็ต้องตระหนักไว้ว่าเรายังไม่บรรลุ มีสติไม่หลงตัวเอง
ไม่ว่าจะรู้ธรรมะมามากแค่ไหนก็ตาม คิดไว้เสมอเลยว่าไม่มีพระพุทธเจ้ามาโปรดเรา
เราจะอุปทานไปเองว่าบรรลุธรรมแล้วก็ได้
๔ อย่าเห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง
บางท่านที่แสดงธรรม
เขียนธรรมะ ฯลฯ เขาทำตามหน้าที่ของเขาเท่านั้นเอง เราอย่าเห็นช้างขี้จะขี้ตามช้าง
อย่าไปคิดว่าเขาทำได้เราก็ต้องได้อย่างเขา เราจะให้ได้อย่างเขา เราได้ปฏิบัติเท่าเขาหรือยังละ?
หลายคนมัก “มีปมด้อย” ไปเห็นใครมีอะไรมากกว่าตัวเอง เก็บเอามาเป็นปมด้อยหมด
เห็นเขารวยกว่าก็มีปมด้อยละ เห็นเขาฉลาดกว่าก็มีปมด้อยละ เห็นเขาสวยหล่อกว่าก็มีปมด้อยละ
พอมีปมด้อยแล้วก็จะ “ทำตัวเลียนแบบเขา” เห็นคนไปกราบพระ
ตัวเองไม่ใช่พระก็อยากให้เขามากราบตัวเองบ้าง เห็นเขามี ตัวเองไม่มี ก็ต้องไปกู้ให้ได้มีอย่างเขาบ้าง
สมัยนี้เป็นแบบนี้กันมาก คนเรามันทำมาไม่เหมือนกันนะ ไม่ต้องไปได้อย่างเขา ก็ได้
๕ ชีวิตอยู่ไม่นาน
อย่ามัวเสียเวลา
บางคนเสียเวลาวันๆ
ไปกับการทะเลาะถกเถียง เอาชนะคะคานกัน ด้วยทิฐิมานะ อยากอยู่เหนือเขาให้ได้
อยากเอาชนะเขาให้ได้ อยากให้เขายอมรับเราให้ได้ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
มันก็แค่การเติมเต็มปมด้อยของเราเองนะ ไร้สาระ
ไม่ช่วยให้ใกล้ความหลุดพ้นอะไรได้เลย อย่ามัวเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้
เวลาในชีวิตเรามันมีจำกัด ข่าวคนตายมีทุกวัน บางคนเพื่อนในเฟสตายจากกันก็มีบ่อยๆ
ไม่รู้ว่าวันไหนจะถึงคิวเราบ้าง
ดังนั้น อย่าเสียเวลากับเรื่องที่ไม่ช่วยให้เกิดการพัฒนาจิตใจของเรา เราตายปั้บ
ถ้าจิตเสื่อมต่ำ มันก็ไปภพภูมิต่ำ เอาเวลามาพัฒนาจิตใจเราดีกว่า ทุกนาทีมีค่า อย่าประมาท
เถียงคนอื่นชนะไป ก็ไม่ได้อะไรหรอก
ฆราวาสผู้ทรงธรรม ปฏิบัติได้อย่างพระนั้น
มีน้อยมากครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น